หลุยส์ ซัวเรซ หัวหอก อุรุกวัย ยืนยันเขาไม่จำเป็นต้องขอโทษต่อ กาน่า กับจังหวะแฮนด์บอลอันเลื่องลือในฟุตบอลโลก 2010 หลังทั้งสองทีมจะลงสนามตัดสินชะตาในวันพรุ่งนี้ (ศุกร์)
เกมระหว่าง อุรุกวัย พบกับ กาน่า ในวันพรุ่งนี้จะเป็นการเจอกันหนแรกนับตั้งแต่ ซัวเรซ ทำแฮนด์บอลปฏิเสธประตูชัยของ กาน่า ในช่วงต่อเวลาพิเศษของรอบก่อนรองชนะเลิศฟุตบอลโลก 2010
จังหวะดังกล่าวลงเอยด้วยกรรมการแจกใบแดงไล่ ซัวเรซ และให้จุดโทษกับ กาน่า แต่ อซาโมอาห์ กียาน ดันยิงพลาด สุดท้ายเกมจบลงด้วย อุรุกวัย เอาชนะในการดวลจุดโทษ หักอก กาน่า ที่เกือบได้เป็นทีมแอฟริกันทีมแรกที่เข้าถึงรอบรองฟุตบอลโลก
ชาว กาน่า หลายรายยังไม่ลืมบาดแผลเจ็บปวดจากครั้งนั้นและประธานาธิบดีของ กาน่า ก็กระตุ้นทีมให้แก้แค้นให้ได้เมื่อพวกเขาโคจรมาเจอกันอีกครั้งใน 12 ปีให้หลัง
นักข่าวจาก กาน่า ได้โอกาสถาม ซัวเรซ ในงานแถลงข่าวก่อนเกมนัดสำคัญ โดยบอกให้อดีตแข้ง บาร์เซโลน่า ทราบว่าคนที่ กาน่า มองเขาเป็น “ปีศาจ” และอยากทำให้เขารีไทร์จากทีมชาติ
“ผมไม่ขอโทษในเรื่องนั้นนะ นักเตะ กาน่า ยิงจุดโทษพลาด, ไม่ใช่ผม บางทีผมอาจจะขอโทษถ้าผมเข้าสกัดและทำให้นักเตะบาดเจ็บ” ซัวเรซ กล่าว
“แต่ในสถานการณ์นั้นผมได้ใบแดงและกรรมการก็แจกจุดโทษ ไม่ใช่ความผิดของผมเพราะผมไม่ใช่คนพลาดจุดโทษ นักเตะคนที่พลาดจุดโทษน่ะก็บอกว่าเขาคงทำแบบเดียวกับผม การยิงจุดโทษไม่ใช่ความรับผิดชอบของผม”
หลายคนพูดว่าเกมนี้เป็นการแก้แค้นของทาง กาน่า แต่ ซัวเรซ มองว่าเรื่องผ่านไปแล้วถึงเวลาที่ทุกฝ่ายต้องเดินหน้าต่อ โดยยกไปเทียบกับจังหวะที่เขากัด จอร์จิโอ คิเอลลินี่ ในบอลโลก 2014
“ผมไม่รู้ว่าคนพูดอะไรกันถึงเรื่องแก้แค้น นักเตะที่ลงสนามวันพรุ่งนี้, อาจจะอายุเพียงแค่ 8 ขวบในตอนนั้นเองมั้ง”
“พวกเขาบอกว่าผมคือปีศาจและอะไรทำนองนั้น แต่สิ่งที่ผมทำกับ คิเอลลินี่, หลังจากนั้นผมได้ลงสนามพบกับเขา, ผมทำพลาดและเราจับมือกัน”
“คุณเอาแต่คิดถึงเรื่องในอดีตและการแก้แค้นไม่ได้ เพราะนั่นอาจไม่ได้ช่วยให้มีความก้าวหน้า”
หาก “จอมโหด” เอาชนะไม่ได้ในวันพรุ่งนี้, ก็คาดหมายว่า ซัวเรซ จะรีไทร์จากการรับใช้ทีมชาติแต่เขาก็มั่นใจว่ามีดีพอสำหรับการรับมือกับความท้าทาย
“เราพบกับช่วงเวลาอันท้าทาย แต่นี่เป็นฟุตบอลโลกของเรา เราอยากที่จะอยู่ในสถานการณ์ต่างจากนี้นะ แต่เราชาวอุรุกวัยและเราคุ้นเคยกับความยากลำบากแบบนี้”
“เราเป็นนักเตะที่ดีพอในสถานการณ์ที่แตกต่างออกไป แต่เราก้าวขึ้นมาเผชิญหน้ากับความยากลำบากได้”
“ในฐานะคนเป็นนักฟุตบอล, เราคุ้นเคยกับข้อแก้ตัว แต่นักเตะของเราทุกคนทำหน้าที่ได้ดีกับสโมสรของพวกเขาและเรามาอยู่ตรงนี้เพื่อประเทศชาติ, ดังนั้นเลิกหาข้อแก้ตัวกันดีกว่า”