เกมการแข่งขัน ระหว่างเจ้าถิ่นทีมหงส์แดง ลิเวอร์พูล (อังกฤษ) เปิดสนาม แอนฟิลด์ ต้อนรับการมาเยือนของทีมราชันชุดขาว เรอัล มาดริด (สเปน) ในศึกฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย นัดสอง
เกมนี้ เจ้าถิ่น ลิเวอร์พูล มาเล่นในระบบ 4-3-3 แผนถนัด นำทีมโดย สามประสานตัวเก่งอย่าง ซาดิโอ มาเน่ กองหน้าตัวแกร่งทีมชาติเซเนกัล โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ กองหน้าจอมเทคนิคทีมชาติบราซิล และ โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ ศูนย์หน้าดาวซัลโวของทีม
ขณะที่ทางฝั่งทีมเยือน เรอัล มาดริด มาเล่นในระบบ 4-3-3 เช่นกัน นำทีมโดย โทนี่ โครส กองกลางห้องเครื่องทีมชาติเยอรมัน ลูก้า โมดริช เพลย์เมกเกอร์ตัวเก่งทีมชาติโครเอเชีย และ คาริม เบนเซม่า ดาวซัลโวประจำทีม
นาที 2
เริ่มเกมมาแปปเดียว เจ้าถิ่น ลิเวอร์พูล ที่ต้องการประตูอย่างแรง ก็บุกใส่ทันที และเกือบได้ประตูขึ้นนำ เป็นจังหวะ ซาดิโอ มาเน่ ใช้ความเร็วกระชากขึ้นมาทางกรอบเขตโทษด้านซ้าย ก่อนจะปาดเลียดมาที่กลางประตูให้ โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ ได้โฉบมายิงด้วยซ้ายเน้นๆไม่จับ แต่บอลทิศทางไม่หนีตัวเท่าไหร่ ติโบต์ กูร์กตัวส์ ผู้รักษาประตูทีมเยือน ใช้ขาเซฟไว้ได้หวุดหวิด
นาที 11
เจ้าถิ่น บุกหนัก และมีโอกาสลุ้นขึ้นนำ เป็นจังหวะ โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ พาบอลพลิ้วแหลกผู้เล่นทีมเยือน หลุดขึ้นมาทางขวา ก่อนจะครอสเข้ากลางถึง โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ได้เอาบอลลง แล้วไหลย้อนมาบริเวณหัวกระโหลกตั้งให้ เจมส์ มิลเนอร์ ได้บรรจงปั่นด้วยขวาเน้นๆ บอลพุ่งโค้งสวยกำลังจะเสียบสามเหลี่ยมเสาแรกขวามืออยู่แล้ว แต่ ติโบต์ กูร์กตัวส์ ผู้รักษาประตูทีมเยือน พุ่งปัดปลายมือไว้ได้เฉยเลย
นาที 18
เจ้าถิ่น ได้ฟรีคิกบริเวณริมเส้นฝั่งซ้าย แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน บรรจงเปิดโค้งมาที่เสาแรก โอซาน คาบัค วิ่งโฉบหนีตัวประกบมาโขกเน้นๆ แต่กดไม่ลง เหินข้ามคานออกไปนิดเดียว
นาที 20
ทีมเยือน เรอัล มาดริด เกือบได้ส้มหล่น เมื่อ เนธาเนี่ยล ฟิลลิปส์ จับบอลเสียโดน คาริม เบนเซม่า ฉกไปได้ ก่อนเจ้าตัวจะกระชากขึ้นมาคนเดียวถึงหน้าเขตโทษ ล็อกหลอกไปมา แล้วยิงเร็วด้วยซ้ายแฉลบ โอซาน คาบัค เปลี่ยนทางผ่านมือ อลีสซง เบ็คเกอร์ ผู้รักษาประตูเจ้าถิ่น ไปชนโคนเสาซ้ายมือ ออกหลังไปอย่างน่าเสียดาย
นาที 25
เกมเดือด จนมีเหตุการณ์ชุลมุนกันตรงกลางสนาม เมื่อ คาเซมีโร่ ไปเสียบใส่ เจมส์ มิลเนอร์ อย่างน่าเกลียด เล่นเอา แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ต้องปรี่เข้ามาเอาเรื่อง ก่อนผู้ตัดสินจะระงับเหตุไว้ได้ แล้วแจกใบเหลืองให้ทั้ง คาเซมีโร่ และ โรเบิร์ตสัน
นาที 37
เจ้าถิ่น บุกขึ้นมาตรงกลาง จอร์จินโย่ ไวนัลดุม พาบอลขึ้นมา ก่อนจะไหลออกขวาให้ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ได้ตั้งป้อมเปิดด้วยซ้าย ลึกไปที่เสาไกล ซาดิโอ มาเน่ โฉบมาชาร์จโล่งๆ ช้าไปนิดเดียว บอลออกหลังไปอย่างน่าเสียดาย
นาที 41
เจ้าถิ่น ได้ลุ้นประตูอีกครั้ง เป็นจังหวะ จอร์จินโย่ ไวนัลดุม พลิกบอลหลุดขึ้นมาตรงกลางสนามอย่างสวย ก่อนจะพาบอลขึ้นมา แล้วแทงออกซ้ายให้ ซาดิโอ มาเน่ เจ้าตัว เปิดเร็วเข้าไปตรงกลางเขตโทษให้ โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ จับบอลลงได้ ก่อนจะปั่นด้วยซ้าย พุ่งโค้งเฉียดสามเหลี่ยมเสาซ้ายมือ ออกไปนิดเดียวจริงๆ
นาที 42
เจ้าถิ่น บุกขึ้นมาทางขวา เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ เลี้ยงลุยขึ้นมา ไถชนผู้เล่นทีมเยือน หลุดขึ้นมาได้ทางขวา ก่อนจะปาดย้อนมาที่หน้าเขตโทษให้ จอร์จินโย่ ไวนัลดุม ได้ก้มหน้าตะบันเต็มข้อ แต่บอลก็ยังเหินข้ามคานออกไปไกล
นาที 45+1
เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ เติมสูงขึ้นมารับบอลทางขวาอีกครั้ง ก่อนจะบรรจงหยอดเข้าเขตโทษ บอลเลยมาถึง ซาดิโอ มาเน่ เอาบอลลงได้ ก่อนจะโดน เฟเดริโก้ บัลเบร์เด้ กระแทกล้มลงไป ผู้เล่นเจ้าถิ่นโวยวายจะเอาจุดโทษกันใหญ่ แต่ผู้ตัดสินใจแข็งให้เล่นต่อไป
หมดเวลาครึ่งแรก เป็นทีมเจ้าถิ่น ลิเวอร์พูล ที่ครองบอลได้เหนือกว่า ปูพรมบุกใส่ทีมเยือน เรอัล มาดริด อยู่แทบจะฝั่งเดียว แต่จบสกอร์กันไม่ได้เอง เลยยังเสมอกันอยู่ที่ 0-0 !!!
นาที 46
เริ่มครึ่งหลังมา เจ้าถิ่น ลิเวอร์พูล ไม่รอช้า บุกใส่ทันที บอลขึ้นมาทาง เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ หยอดมาที่เสาแรกให้ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ เกี่ยวบอลได้แล้วเอาตัวบังบอล โดยมี เอแดร์ มิลิเตา ประกบติดไม่ห่าง แต่จังหวะสุดท้าย เจ้าตัวก็พลิกตัวมายิงมุมแคบด้วยขวาที่เสาแรกจนได้ แต่ ติโบต์ กูร์กตัวส์ ผู้รักษาประตูทีมเยือน รู้อยู่แล้ว ยืนปิดมุม เซฟไว้ได้ทัน
นาที 53
ทีมเยือน เรอัล มาดริด ได้สวนขึ้นมาบ้าง แฟร์กล็องด์ เมนดี้ เติมสูงขึ้นมา ทำชิ่ง 1-2 กับ คาริม เบนเซม่า หลุดไปถึงสุดเส้นหลังฝั่งซ้าย ก่อนจะตบเข้ากลางให้ เบนเซม่า ได้เติมตามขึ้นมายิงอีกครั้งตรงกลางประตู แต่ เจมส์ มิลเนอร์ ตามลงมาด้วย แหย่ขาสกัดไว้ได้ก่อนเฉียดฉิว
นาที 57
เจ้าถิ่น ได้ทุ่มทางขวา บอลมาถึง โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ได้ล็อกหลบ เอแดร์ มิลิเตา แตะมาที่หน้าเขตโทษด้านขวา ก่อนจะตวัดยิงด้วยซ้ายเน้นๆ แต่บอลโดนใต้ลูก เหินออกไปไกลแบบน่าผิดหวังสุดๆ
นาที 60
เจ้าถิ่น แก้เกม หวังจะทำประตูให้ได้ ส่งตัวรุกอย่าง ติอาโก้ อัลกันตาร่า และ ดิโอโก้ โชต้า ลงมา แล้วถอย ฟาบินโญ่ ลงไปเล่นเป็นเซ็นเตอร์แบ็ค
นาที 66
ไปๆมา ทีมเยือน เรอัล มาดริด เกือบได้ประตูขึ้นนำ เป็นจังหวะ เฟเดริโก้ บัลเบร์เด้ โยนบอลยาวจังหวะเดียวจากทางฝั่งขวาทิ้งไปให้ วินิซิอุส จูเนียร์ ได้ใช้ความเร็วกระชากหนี เนธาเนี่ยล ฟิลลิปส์ หลุดเข้าไปในเขตโทษแล้วซัดเร็วทันที แต่ อลีสซง เบ็คเกอร์ ผู้รักษาประตูเจ้าถิ่น โชว์ซุปเปอร์เซฟ วิ่งออกมาขวางไว้ได้ บอลกระฉอกไปเข้าทาง เบนเซม่า เจ้าตัวก็ยังตามมาปัดไว้ได้ทันอีกครั้ง
นาที 69
เจ้าถิ่น มีโอกาสได้ยิงอีกครั้ง แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน โหม่งเบิ้ลบอลจังหวะเดียว หนุนเข้าไปในเขตโทษฝั่งซ้าย โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ โฉบเข้าไปถึงบอลได้ซัดจ่อๆที่เสาแรก แต่ เอแดร์ มิลิเตา ตามลงมาบล็อกไวได้ทันหวุดหวิด
นาที 70
เจ้าถิ่น บุกขึ้นมาทางซ้าย แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน แทงบอลยัดให้ ดีโอโก้ โชต้า พลิกบอลเข้าไปในเขตโทษฝั่งซ้ายได้สวย ก่อนจะกระชากหนีกองหลังไปที่มุมแคบ แล้วซัดเร็วไปที่เสาแรกทันที บอลแฉลบแนวรับนิดนึง พุ่งเข้าข้างหน้าต่างแทน ได้เตะมุม
นาที 81
ทีมเยือน สวนขึ้นมาบ้าง เอแดร์ มิลิเตา เติมสูงขึ้นมาทางขวา ก่อนจะบอมบ์โด่งเข้าไปในเขตโทษ คาริม เบนเซม่า สอดขึ้นไปได้โหม่งกดลงพื้นเน้นๆ บอลกระเด้งพื้นก่อนจะโด่งข้ามคานออกไปเองอย่างน่าเสียดาย
นาที 82
เจ้าถิ่น พยายามบุกอย่างหนัก แต่ก็ทำไม่ได้เอง ทีมเยือน เริ่มแก้เกมด้วยการเน้นครองบอลเป็นหลัก ผู้เล่นเจ้าถิ่น ไล่บอลจนหัวร้อนกันเลยทีเดียว
หมดเวลาการแข่งขัน เป็น ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเสมอกับทีมเยือน เรอัล มาดริด ไปแบบจืดๆ 0-0 !!! กระเด็นตกรอบจอดป้ายไปในรอบนี้ ขณะที่ เรอัล มาดริด แชมป์เก่า เอาชนะไปด้วยสกอร์รวมสองนัด 3-1 !!! ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศได้สำเร็จ
ติดตามข่าวสารวงการฟุตบอลได้ที่ ผลบอลทุกคู่อัพเดททุกวัน