“ซิตี้” อีกนัดเดียวสร้างประวัติศาสตร์

จากรูปเกมเพียงแค่ 10-20 นาทีแรกผมมั่นใจทันทีว่า แมนฯซิตี้ ไม่น่าพลาดเข้าชิง “แชมเปี้ยนส์ลีก” เป็นหนแรกของสโมสร

ไม่ผิดหนักหากจะบอกว่า Commitment (ความมุ่งมั่น) และ ความเป็นมืออาชีพคือ key หลักที่ทำให้ แมนฯ ซิตี้ ปิดจ็อบง่ายดายกว่าที่คาดการณ์ไว้เยอะ

ผู้เล่นทุกคนแสดงออกให้เห็นว่าไม่มีติดประมาท เน้นชัวร์ตั้งแต่เกมเริ่มจนกระทั่งท้ายเกม

ในขณะที่ เปแอสเช เล่นไม่ได้เฉียดใกล้ 45 นาทีแรกในบ้านตัวเองแม้แต่นิดเดียว โดนเพรสอย่างโหดแพ้รัวๆ

สภาพสนามที่มีหิมะตกอาจมีส่วนทำให้แข้งทีมเยือนรู้สึกไม่คล่องตัวแต่ผมรู้สึกว่านักเตะตัวแบกของ เปแอสเช ไม่ว่าจะ อังเกล ดิ มาเรีย หรือ เนย์มาร์ หวงบอลและเล่น “โชว์” เยอะเกินความจำเป็น

เมื่อทรงบอลมาแบบนี้ เมาโร อิคาร์ดี้ แทบไม่มีส่วนร่วมอะไรกับเกมจนกระทั่ง เมาริซิโอ พอเชตติโน่ เปลี่ยนออกในครึ่งหลัง

หากไม่นับจังหวะที่ กุนโดกาน ทำฟาว์ล เนย์มาร์ และเสียฟรีคิกหน้าเขตโทษจน เป๊ป โมโห ที่เหลือแข้งเจ้าถิ่นตัดเกมทำฟาว์ลตั้งแต่กลางสนามเพื่อตัดหนทางทำมาหากินทางลัดของ เปแอสเช

2 ประตูของ ริยาร์ด มาห์เรซ ทำให้เกมนี้ถูกตีเส้นบทหนังไว้มิติเดียว ลูกแรกยิงด้วยขวาข้างไม่ถนัดมุมแคบแต่ทะลุ 2 ดาก ยังไงก็ต้องยอม

ส่วนลูกตอกฝาโลงเป็นตำราสวนกลับที่ เป๊ป เล็งๆเล่นแบบนี้ตั้งแต่นำ 1-0 ในครึ่งแรกแล้ว การต่อบอล 3 คนของ เดอ บรอยน์, โฟเด้น และมาจบที่ “หยาด” ที่ไม่ต้อง tricky หวือหวาแต่ประสิทธิภาพจัดๆ

แม้วันนี้เกมรุกของ เปแอสเช เดาง่ายไม่ซับซ้อนแต่ควรต้องยกนิ้วให้แนวรับ “ซิตี้” โดยเฉพาะ รูเบน ดิอาส (MOM) และ อเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ อยู่ถูกที่ถูกเวลาในเขตโทษ การบล็อกการรุมกินโต๊ะเก็บงานละเอียดกริ๊บ

ส่วน เนย์มาร์ ยิ่งเล่นยิ่งไม่เห็นหัวเพื่อน ตั้งใจอยากเอาชนะคนที่เข้ามาแย่ง หลายครั้งหลายหนจ่ายเพื่อให้เกมเดินหน้าได้ก็ดึงล็อกโชว์แล้วค่อยแปะคืน ทำให้จังหวะเกมพัง

การเล่นบอลทัศนคติแบบ เนย์มาร์ มันหวือหวาได้ผลก็แค่บางเกมครับแต่สุดท้ายมันต้องไปวัดกันที่ยิงประตูอยู่ดี

อย่าง ลีโอเนล เมสซี่ ช่วงที่พีคเอาจริงๆแกอยากจะเลี้ยงหลบใครก็ทำได้แต่จังหวะให้คือให้ไม่มีโชว์ให้ฝั่งตัวเองเสียเปรียบ คลาสบอลทั้งคู่ต่างกันเลยทั้งๆที่ศักยภาพพรสวรรค์ไม่น้อยไม่มากไปกว่ากัน

การขาด คิลิยัน เอ็มบาปเป้ ที่ไม่ฟิตและ เนย์มาร์ เสียบอลเป็นว่าเล่นทำให้จากที่ว่าทีมพาบอลบุกลำบากอยู่แล้วเกมยิ่งเป็นรองหนักเข้าไปอีก

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดกับการมีหือมีอือของ เปแอสเช น่าจะเป็นแค่ช่วง 20 นาทีแรกที่พยายามแลกแต่นอกเหนือจากนั้นเป็นฝั่ง “เรือใบ” ที่ควบคุมทุกอย่างเอาไว้วได้หมด

และไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรืออุบัตเหตุทางลูกหนังใดๆที่ เปแอสเช ถูกใบแดงทั้ง 2 นัดและหนนี้เป็นของ ดิ มาเรีย หลังรู้ตัวว่าแพ้แน่ๆจากการตามหลัง 2-0 เลยหาที่ลงแบบหัวร้อนฉ่า (ทั้งๆที่เวลาเหลือกว่า 20 นาที)

รวมไปถึงการเจตนาเล่นคนระบายอารมณ์ช่วงท้ายเกมทั้ง คิมเปมเบ้ และ ดิยาโล่ จนแข้ง ซิตี้ ดิ้นพล่านเห็นแล้วได้แต่เวทนา แพ้ทั้งสกอร์ทั้งใจผู้ชม

ความไม่ “โปร” ที่เล่นไม่เป็นทีมและควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ เป็นคำนิยามสั้นๆที่สรุปเอาไว้แบบเห็นภาพที่สุดสำหรับคนที่ไม่ได้ดูเกมนี้

การเข้าชิงครั้งแรกของ ซิตี้ และเป้าหมายการนำ “บิ๊กเอียร์” มาประดับสโมสรจะทำให้ “เป๊ป” unlock trophy และต่อให้ตายไปอีกกี่สิบปีชื่อเขากับเมืองๆนี้จะถูกพูดถึงไปตลอด

เป๊ป เหมือนยังมีเรื่องต้องสะสางกับรายการ แชมเปี้ยนส์ลีก เพราะนับตั้งแต่ออกจากคัมป์นู ก็ไม่เคยได้สัมผัสอีกเลย ทั้งๆที่จะว่าไปแล้วขุมกำลังในมือโหดไม่แพ้ทีมบ้านเกิด

ครั้งสุดท้ายที่ เป๊ป เข้าชิงและได้แชมป์รายการนี้คือกับ บาร์เซโลน่า เมื่อปี 2011 แม้กระทั่งไปคุมโคตรทีมอย่าง บาเยิร์น มิวนิค ก็ยังทำไม่สำเร็จ

กับ 3 ฤดูกาลกับ “พี่เสือ” เป๊ป พาทีมตกรอบรองชนะเลิศทั้ง 3 ปี

ในขณะที่กับ “ซิตี้” ที่ว่ากำลังพีคๆก็ถูกทีมจากอังกฤษด้วยกันอย่าง ลิเวอร์พูล และ สเปอร์ส เขี่ยร่วงรอบ 8 ทีมสุดท้าย 2 ปีติด

จนกระทั่งซีซั่นก่อนพา “เรือใบ” มาไกลที่สุดถึงรอบก่อนรองและเป็นต่อบานเบอะแต่ด้วยความ “อินดี้” คิดเยอะกลายเป็นเสร็จ ลียง พลิกล็อกซะงั้น

ด้วยความเคารพต่อ เรอัล มาดริด และ เชลซี แต่ดูเหมือนเส้นทาง โร้ด ทู อิสตัลบูล ในฤดูกาลนี้ถูกเขียนบทเพื่อ เป๊ป ยังไงชอบกล

ไม่เอาปีนี้ไม่รู้ก็จะเอาไปตอนไหนแล้ว…