บอล “ยูโร” 2 คู่ทั้ง สเปน ถล่ม โครเอเชีย 5-3 และ ฝรั่งเศส ดวลจุดโทษแพ้ สวิสเซอร์แลนด์ (หลังเสมอ 120 นาที 3-3) ถ้าเปรียบเป็นหนังก็มาจากผู้กำกับคนเดียวกันไม่ว่าจะโทนหรือลำดับการเล่าเรื่อง
ทีมรองขึ้นนำ เผลออึดใจเดียวโดนแซง 2 ลูก ก่อนกดอัลติรัวๆยื้อต่อเวลาจนแฟนบอลทั้งในสนามและที่บ้านปรับอารมณ์กันไม่ถูก
ยิงล้างยิงผลาญแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับระเบิดภูเขาเผากระท่อมสไตล์ “อาหลอง” อย่างแท้จริง
สวิสเซอร์แลนด์ น่าจะชนะพลิกล็อกใน 90 นาทีด้วยซ้ำครับเพราะนำ 1-0 และกำลังจะ 2-0 จากจุดโทษเช็ก VAR ย้อนหลังของ แฟร์นานโด้ ราปัลลินี่ ผู้ตัดสินชาว อาร์เจนติน่า แต่การเซฟทำบุญโรงศพของ ฮูโก้ ญอริส ทำให้เกิด story ตามมามากมาย
ให้พูดแบบลอยๆไร้หลักฐานผมว่าถ้าให้เลือกได้ สวิสเซอร์แลนด์ บอกไม่เอาได้ไหมจุดโทษลูกนี้ ในเมื่อสกอร์มันก็ 1-0 เท่าเดิม
เพราะมันทำให้เกิด butterfly effect โดยตรงกับผู้เล่น ฝรั่งเศส ที่วินาทีที่เสียจุดโทษน่าจะรู้สึกใกล้เคียงที่สุดแล้วกับการตกรอบ ดังนั้นเมื่อรอดตรงนั้นมาได้ ความบ้าคลั่งเกิดขึ้นทันที
ถ้าลองไม่มีเหตุการณ์นี้ผมเชื่อว่า สวิสเซอร์แลนด์ น่าจะรับมือกับเกมรุกของ “ตราไก่” ได้เรื่อยๆเพราะเล่นมีวินัยทุกคน ตัดเส้นทางทำมาหากินริมเส้นด้วยการใช้ผู้เล่นรองกัน 2-3 ตัว
จังหวะเกมของ ฝรั่งเศส (หลังไม่โดนลูก 2) เปลี่ยนไปจากเดิมแบบแทบจะทันทีทันใด คือการเล่นหน้าประตู (และในกรอบ) จะเน้นจังหวะเดียวแบบไวๆเพื่อสลัดการประกบแน่นๆจนนำมาสู่การได้ 2 ประตูรวดภายใน 2 นาทีจาก คาริม เบนเซม่า
ลูกยิงปั่นโค้งๆสุดเวิร์ลดคลาส 25 หลาเหมือนในเกม FIFA ของ พอล ป็อกบา ก่อนหมดเวลา 15 นาทีก็น่าจะเพียงพอทำให้เราได้ผู้ชนะสบายๆและได้เข้านอนก่อนตี 4 แบบฟินๆ
แต่เหมือนคู่ สเปน กับ โครเอเชีย เป๊ะๆครับ ตาม 2 ประตูแต่ใช้เวลาท้ายเกมได้คุ้มค่าซึ่งมันไม่ปกติเท่าไหร่ทีมใหญ่อย่าง ฝรั่งเศส โดนง่ายเกินไปในช่วงเวลาไม่กี่นาที
เมื่อคุณถูกลากไปดวลจุดโทษตัดสินมันคือการวัดดวงและใช้ใจล้วนๆ เรื่องฝีเท้าค่าตัว ความเป็นซุปตาร์ไม่สำคัญอะไรเลยครับ
บังเอิญ “สวิส” เป็นฝ่ายได้ยิงก่อนและดันไม่มีใครพลาดเลยซึ่งแน่นอนครับเมื่อออกมาลักษณะนี้คนยิงทีหลังก็จะมีแต่เจ๊ากับเจ๊ง
เหมือน “อาหลอง” เขียนบทให้เกิดผู้ร้ายเมื่อ เอ็มบาปเป้ ยิงเป็นคนสุดท้าย กลายเป็นเด็กอายุ 22 ปีต้องแบกรับความกดดันขนาดนั้น แค่เห็นสีหน้าก่อนยิงก็รู้สึกได้ทันทีว่าน่าจะหยุดที่มึงนี่แหละ
คงต้องไปฟื้นสภาพจิตใจกันเยอะหน่อยสำหรับแข้ง เปแอสเช เพราะทัวร์นาเมนท์นี้ต้องบอกว่าไม่มีฝากชื่อทำประตูแม้แต่ลูกเดียว ฟอร์มดับสนิทจริงๆ
ผมคงไม่กล้าออกตัวหรือคิดแล้วว่า สเปน จะเป่าปากโล่งอกที่ไม่ต้องเจอ ฝรั่งเศส เพราะ สวิสเซอร์แลนด์ แสดงให้โลกเห็นแล้วว่าเจอใครหน้าไหนก็ได้ทั้งนั้น ไม่ใช่บอลเอาแต่อุดแต่สวนกลับเป็นงาน บอลวางยาวจาก ชาก้า เด็ดสะระตี่เอามากๆ
นี่คือหัวจิตหัวใจระดับเดียวกับ ออสเตรีย สมควรเข้ารอบด้วยประการทั้งปวงครับ
สำหรับคู่แรกตั้งแต่ห้าทุ่ม สเปน กับ โครเอเชีย ไม่ใช่แค่ว่า “ระทึกใจ” เพียงเพราะมีถึง 8 ประตูแต่มันพลิกสลับไปมาไม่ต่างจากคู่ดึกเช่นกัน
“กระทิงดุ” ถูกล้อจากชาวโซเชี่ยลว่าเป็นตัวตลกประจำทัวร์นาเมนท์ อันมาจากความ “เซ่อซ่า” เวลาอยู่ในเขตโทษทำให้ 2 นัดแรกไม่ชนะและยิงมาได้แค่ลูกเดียว
แต่ตอนนี้ 2 นัดหลังสุดทั้งเกมสุดท้ายในรองแบ่งกลุ่มและสดๆร้อนๆกับ โครเอเชีย ยิงรวมกัน 10 ลูก สร้างสถิติใหม่ใน ยูโร รอบสุดท้ายไปแล้ว
จึงพูดได้ว่าจุดเด่นเดิมของลูกทีม หลุยส์ เอ็นริเก้ คือการครองบอล มาฟิวชั่นกับการจบสกอร์จนฟอร์มของ สเปน ถูกตบแต่งเข้าที่เข้าทางถูกเวลาพอดิบพอดี
จุดเริ่มต้นของความมันมาจาก “ลางร้าย” ของ สเปน เกิดขึ้นตั้งแต่นาที 20 หลัง เปดรี้ จ่ายบอลจากกลางสนามคืนหลัง (ซึ่งผมว่าแรงและดันติดไซด์) แถมตรงกรอบทำให้ อูไน ซิม่อน ผู้รักษาประตูตีนรั่วบอลเข้าประตูตัวเอง
เขาจึงมีการพร่ำสอนกันเสมอว่าคืนโกล์อย่าให้ตรงกรอบ มันจะช่วยชีวิตได้หากเกิดเหตุการณ์แบบในเกมนี้
ผมตกใจจังหวะนี้มากหลังได้ยินเสียงผู้บรรยายร้องเสียงหลง ตอนนั้นผมกำลังก้มหน้าเซิรซ์หา “เตาปิ้งย่าง” กะว่าจะอุดหนุน “น้องก้อน” ผู้น่าสงสารซะหน่อย
ข้อดีของการโดนเร็วคือคุณมีเวลาเหลือเฟือที่จะพลิกเกม ตรงกันข้ามต่อให้คุณมีผู้เล่นเก่ง เหนือกว่าคู่แข่งแค่ไหนแต่ไม่มีเวลาเหลือให้เล่นก็เปล่าประโยชน์
“กระทิงดุ” ค่อยๆใช้ทรงบอลที่เหนือกว่าตามนวดจนแซงรวดเดียว 3-1 แต่จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ฝั่ง โครเอเชีย เมื่อปักใจไม่ยอมแพ้เราจึงได้เห็นเกมสู้ตายเหมือนวันที่ ออสเตรีย ยื้อ อิตาลี ไปต่อเวลานั่นแหละครับ
2 ประตูของ โครเอเชีย มารัวๆภายใน 7 นาที (85 และ 90+2) อันเป็นช่วงเวลาเปิดหน้าแลกและทาง สเปน ต้านไม่อยู่ ขนาดตัวในเขตโทษมีเยอะกว่าเขาเป็นเท่าตัวแต่บอลจะโดนคุมยังไงก็ไปเข้าทางตราหมากรุกตลอด
จะว่าไปแล้วเกมนี้เป็นวันที่ผมดูแล้วหิวมากที่สุดแล้วครับ ท้ายครึ่งแรกยันต่อเวลาพิเศษเราจะได้ยินคำว่า “ปลาสลิด” (ปาซาลิช) บ่อยมาก
ผมมองว่าจุดเปลี่ยนช่วงต่อเวลาพิเศษคือ โครเอเชีย ซึ่งโมเมนตั้งกำลังมาแรงมากทิ้งโอกาสเป็น “ผู้ชนะ” แบบโคตรเหลือเชื่อหลัง ครามาริช ยิงเหน่งๆจ่อๆยังไงต้องเข้าแต่ ซิม่อน ที่ล้มตัวไปอีกทางแล้วดันมีติ่งแขนปัดข้างเดียว
ที่พีคคือแค่ 4 นาทีหลังเหตุการณ์นั้น สเปน มาขึ้นนำและเป็นลูกที่สวยหยดย้อยของ โมราต้า ที่ดูดบอลลงแล้วยิงด้วยอีซ้ายแบบผีจับยัดทำให้เครื่องของทีม “ตราหมากรุก” ดับทันที
หลายคนที่วิ่งจนลิ้นห้อยเริ่มหมดแรง ที่เห็นชัดๆเลยคือ ลูก้า โมดริช ที่เสียบอลบ่อย ด้วยความที่แกก็อายุปาไป 35 ปีอยู่มาได้จน 114 นาทีก็เกินเบอร์ไปไกลแล้ว
ครับ ท้ายที่สุดไม่มีอะไรจะบอกมากไปกว่าขอปรบมือรัวๆให้คุณภาพของบรรดา “ทีมรอง” ที่หลุดมาเล่นในรอบน็อกเอาท์ทำให้เราได้ดูฟุตบอลดีๆถึง 2 วันติดแล้ว…