โดยส่วนตัวแล้ว ผมว่าผมอาจไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายสำหรับหนังเรื่องรักหมดแก้ว เลิฟออนเดอะร็อก ครับ เพราะรู้สึกว่าตัวเองเข้าไม่ถึงหลายๆ สิ่งที่หนังพยายามนำเสนอ
เหตุผลหนึ่งอาจเพราะผมนั้นห่างไกลจากคำว่านักดื่มครับ ไม่ค่อยไปนั่งล้อมวงดื่มเหล้า มากสุดคือเบียร์ ซึ่งก็ไม่ได้แตะมา 10 กว่าปีตามความต้องการของภรรยา แต่ถ้าวันไหนอยากนั่งกับเพื่อนก็ให้เพื่อนดื่มไป ส่วนผมดื่มนมแทน (แต่ก็เมาตามพวกมันได้เหมือนกันนะครับ เป็นตัวพิสูจน์เลยว่าอุปทานหมู่น่ะมีจริง คนบ้าอะไรดื่มนม ดื่มเฮลส์บลูบอยแล้วเมาตามพวกมันไปได้น่ะ)
ปาร์ตี้ตามผับบาร์ในชีวิตนี้ก็เคยไปครั้งเดียว คือตอนนั้นจำไม่ได้ด้วยว่าเข้าร้านอะไร รู้แต่ว่าอยู่แถวรัชดา มีอยู่คืนหนึ่งผมกับเพื่อนๆ อยากลองดูสักหนว่ามันจะเป็นยังไง
มันเป็นการเข้าผับที่ฮามากครับ ผมกับเพื่อนๆ พอผ่านด่านตรวจบัตรนอกผับแล้วก็เดินต่อแถวกันเข้าไป เดินตามกันไปเรื่อยๆ เพราะคนแน่นมาก ไม่เจอที่นั่ง เจอแต่ผนังมนุษย์เต็มด้านหน้า ด้านหลัง และด้านข้าง
แล้วพวกผมก็เดินตามแถวไป… เดินตามแถวไป… เดินตามแถวไป… จนออกมานอกผับ…
ผมกับเพื่อนพอออกมาก็มองหน้ากัน… งง… 5555
วันนั้นมีรุ่นน้องที่ไปด้วยกัน มันอายุไม่ถึงเกณฑ์ครับ ตอนเข้าไปเลยพยายามทำเนียนถือบัตรแบบแกว่งๆ เอานิ้วปิดๆ แต่สุดท้ายก็เข้าไม่ได้ มันก็ยืนรออยู่ด้านนอก ปรากฏว่าพอเห็นพวกผมออกมา มันถามว่า “เฮ้ย นี่พวกพี่กินกันเสร็จแล้วเหรอ”
“พวกตูเพิ่งไปเดินจงกรมมา”… อันนี้คิดในใจ ไม่ได้บอกมัน
นั่นแหละครับ ประสบการณ์ครั้งแรกและครั้งเดียว… สงสัยบุญไม่ถึง
ผมเชื่อว่าสังคมแต่ละแบบก็มีเสน่ห์ของมันครับ คนชอบเข้าวัดก็พบเจอสุขอย่างหนึ่ง คนชอบอ่านหนังสือก็เจอสุขอย่างหนึ่ง คนชอบสังสรรค์ก็เจอสุขอย่างหนึ่ง ต่างแบบต่างสไตล์กันไป
ผมไม่ใช่นักดื่ม แต่ก็พอเข้าใจครับว่าทำไมคนถึงชอบดื่ม ชอบตั้งวง ชอบสำมะหลาฮ่าเฮ่ เหตุผลอาจไม่ใช่เพราะเหล้าที่ทำให้สุข แต่เพราะได้เจอคนคอเดียวกัน คิดเหมือนกัน ชอบอะไรเหมือนกัน และประสบการณ์คล้ายกันมาใช้เวลาร่วมกัน มาแลกเปลี่ยนปรับทุกข์ มาแบ่งปันความสนุกที่พบเจอ มาซับเลือดซับน้ำตาให้แก่กัน
จริงๆ กลุ่มคนที่เป็นเพื่อนกันบนโลกใบนี้ก็แพทเทิร์นนี้ทั้งหมดนั่นแหละครับ อยู่ที่ว่าอะไรจะเป็นสื่อกลางที่วางบนโต๊ะ (เหล้า, แฟชั่น, จักรยาน, อาหาร, กาแฟ, สัตว์เลี้ยง, หนังสือ ฯลฯ) เราชอบแบบไหนก็มีเพื่อนแบบนั้นนั่นแหละ
กลับมาเรื่องหนังก่อนดีกว่า สำหรับผมหนังเรื่องนี้ก็ดูได้เรื่อยๆ ครับ เพียงแต่บางประเด็นที่ผมว่ามันคงมีความหมายบางอย่าง (อย่างตอนเจ๊มาช่าบอกว่าไอ้คนนี้เหมาะกับเหล้าแบบไหน) ผมกลับไม่เข้าใจมันอย่างเต็มที่ แต่จากการดูนั้น รู้สึกคนทำจะตั้งใจทำฉากที่ว่าออกมามากทีเดียว
ผมจึงไม่อาจสรุปครับว่าหนังเรื่องนี้ดี-ไม่ดี… จริงๆ หนังเรื่องไหนผมก็สรุปไม่ได้ทั้งนั้นแหละ ผมบอกได้เพียงว่าผมชอบหรือไม่ มันแนวผมหรือเปล่าเท่านั้นเอง ^_^
สำหรับเรื่องนี้ ก็ดูได้เพลินๆ ดี เพียงแต่ความประทับใจอาจไม่มาก สาระก็มีเช่นการเสียดสีคำว่า “รักได้ แต่อย่าครอบครองกัน อย่ามาเป็นเจ้าของกัน” ที่ในเชิงปรัชญามันดูเท่ห์และสวยงาม แต่เอาเข้าจริง ถ้าเรารักใครสักคนแล้วเรามีความรู้สึกห่วงหาหรืออยากครอบครอง มันเป็นเรื่องที่ผิดขนาดนั้นเลยหรือเปล่า
บางทีเราไม่ได้จะครอบครอง แต่เราเพียงต้องการในบางสิ่ง ทว่าอีกคนกลับมองว่า “นั่นแหละ คือการครอบครอง” แล้วอะไรคือ “ตรงกลาง” ของนิยาม
หรือเรากำลังโดนฤทธิ์ของคำกล่าวสวยหรู (ที่ยูและไอไม่ได้พูด แต่คนอื่นพูดแปะกระดาษไว้) ครองครองเสียแทน?
หนังยังมีสาระชีวิตที่ผู้ชมอาจต้องผ่านโลกมาในระดับหนึ่งจึงจะเข้าใจ เช่น การเลือกทางเดินของคน การจมอยู่กับความผิดหวังครั้งเก่า แต่บางเรื่องผมเชื่อว่าวัยรุ่นที่เคยมีรักน่าจะเข้าใจได้ไม่ยาก เช่น การปากแข็ง ปากไม่ตรงกับใจ หรือบางครั้งตรงกับใจมากเกินไป ก็ทำให้เกิดหายนะกับชีวิตได้
เอาเป็นว่านี่ก็เป็นหนังรักผสมชีวิตของวัยรุ่นอีกเรื่องที่อาจจะเหมาะสำหรับคนที่นิยมสังคมหมดแก้ว จริงๆ มันก็น่าสนใจดีครับ เพราะปกติหนังรักมักมาในโทนโลกสวยๆ น่ารักกุ๊กกิ๊ก เรื่องนี้ก็ถือว่าสะท้อนชีวิตคนในปัจจุบันได้ในระดับหนึ่งครับ เพียงแต่ในแง่ของพล็อตและการเดินเรื่อง ก็อาจยังไม่ลงตัวไปเสียทั้งหมด หรือบางประเด็นที่หนังเปิดไว้ ก็ยังเล่นไม่ถึงสุดทาง
กระนั้นหากใครชอบหนังรักปนชีวิต จะลองสักครั้งคราก็ไม่น่าจะเสียหายครับ ^_^
สองดาวครับ
(6/10)