ราล์ฟ รังนิค เข้าใจดีที่นักเตะบางคนของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่แฮปปี้กับโอกาสลงสนามแต่ก็ต้องรับมือด้วยความเป็นมืออาชีพ รวมถึงยืนยันว่าลูกทีมแสดงความพยายามที่จะเล่นในแบบที่เขาต้องการ
แมนฯ ยูไนเต็ด แพ้ให้กับ วูลฟ์ส ในคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา ผลการแข่งขันอันน่าผิดหวังยังนำไปสู่ข่าวลือเรื่องปัญหาที่เกิดขึ้นภายในทีม
กุนซือวัย 63 ปีทราบดีว่าเป็นเรื่องปกติที่นักเตะจะไม่มีความสุขเพราะไม่ได้รับโอกาสลงสนาม แต่ก็ยืนยันว่าทุกคนปฏิบัติตัวอย่างในแบบมืออาชีพ
“นี่ไม่ใช่ปัญหาที่เกิดขึ้นกับสโมสรแบบ แมนฯ ยูไนเต็ด แค่ทีมเดียวนะ เป็นปัญหาเมื่อคุณมีทีมขนาดใหญ่และเราก็มีทีมขนาดใหญ่” รังนิค กล่าว
“ถ้าคุณมีนักเตะหลายคนในทีมและส่งแข้งเอาท์ฟิลด์ลงได้แค่ 10 คน, เปลี่ยนสำรองลงได้อีก 3 คน ก็จะมีนักเตะอีกจำนวนนึง, ในกรณีของเราคือ 12-14 คน, ที่จะไม่ได้ลงสนามหรือแม้แต่มีชื่อในทีม”
“นั่นคือนักเตะที่ไม่แฮปปี้กับสถานการณ์, เป็นเรื่องที่ทราบกันดี, เป็นเรื่องชัดเจน รวมๆแล้วเรามีทีมขนาดใหญ่ ผมมักจะอธิบายให้นักเตะทราบทุกๆ 2-3 สัปดาห์ว่าทำไมพวกเขาไม่ได้ลงเล่น แต่ผมทำแบบนั้นทุกนัดไม่ได้และนั่นก็เป็นปัญหาทั้งในทีมของเราและที่สโมสรอื่น”
“เรามีนักเตะที่สัญญากำลังจะหมดลงในช่วงซัมเมอร์, เราอาจจะมีนักเตะ 1-2 คนที่อยากย้ายและยังมีสัญญากับทีม”
“นี่เป็นเรื่องที่นักเตะต้องรับมือด้วยความเป็นมืออาชีพ ทุกคนมีโอกาสที่จะแสดงผลงานในการซ้อม, สร้างความประทับใจและรับโอกาสลงเล่น ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นก็แน่นอนว่านักเตะ, สโมสรและเอเยนต์ต้องมาคุยกัน”
“เท่าที่ผมบอกได้ในตอนนี้คือนักเตะรับมือกับเรื่องเหล่านั้นกันอย่างเป็นมืออาชีพ, ผมพูดเป็นแบบอื่นไม่ได้ ถ้าผมตระหนักว่าไม่เป็นเช่นนั้น ผมก็จะคุยกับนักเตะโดยตรง”
นอกเหนือจากนี้ รังนิค ยังยืนยันว่านักเตะพยายามที่จะเล่นตามสไตล์ที่เขาต้องการ ถึงแม้จะถูกมองว่ามีปัญหากับการปรับตัวเข้ากับระบบของเขา
เมื่อถามว่านักเตะเชื่อในสไตล์การเล่นของเขาหรือไม่, รังนิค ตอบว่า “อย่างน้อยพวกเขาก็พยายาม, ผมมั่นใจว่าพวกเขารับฟังและผมว่าเราแสดงให้เห็นในเกมที่พบกับ พาเลซ, เบิร์นลี่ย์ รวมถึงบางช่วงของเกมเจอ นอริช และ นิวคาสเซิ่ล ที่พวกเขาพยายามเล่นตามที่ผมแนะนำ”
“เราเสียประตูน้อยลงกว่าที่ผ่านมานะ, ปกติแล้วเราเฉลี่ยเสียประตู 1.7 ลูกต่อเกมมั้ง? ตอนนี้เราเสียไป 0.6 ประตูจาก 6 เกม แต่ใช่, ยังเป็นเรื่องของความสมดุล”
“เราต้องหาความสมดุลระหว่างเกมรับและรับให้ดีที่สุด และนี่ยังเป็นสิ่งที่เราต้องทำให้ดียิ่งขึ้น”