นับว่าเป็นอีกหนึ่งโปรเจกต์หนังที่ทำให้คอหนังไทยต้องหูผึงขึ้น ทันทีที่มีข่าวงานสร้างหนังไทยที่ชื่อว่า “มนต์รักนักพากย์” เพราะแค่ได้ยินชื่อทีมนักแสดงและทีมผู้สร้างก็สามารถอุ่นใจได้พอประมาณแล้ว และนี่คือหนังไทยที่ไม่ต่างจากการพาคนดูย้อนกลับไปสู่วันวานแห่งความคิดถึงของวงการหนังไทย ที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ที่หาดูไม่ได้อีกแล้วในทุกวันนี้ เป็นภาพสีซีด ๆ ที่ยังคงสดใสเสมอ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปหลายปีแล้วก็ตาม…
มนต์รักนักพากย์ เป็นเรื่องราวในปี พ.ศ. 2513 ยุคที่ มิตร ชัยบัญชา เป็นนักแสดงที่กำลังโด่งดังที่สุด และยังเป็นเสมือนเครื่องยึดเหนียวจิตใจของกลุ่มนักพากย์บนรถเร่ขายยาหน่วยที่ 18 ของบริษัทขายยาโอสถเทพยดาที่เรียกลูกค้าด้วยการฉายและพากย์หนังกลางแปลง พวกเขาต้องเผชิญกับความท้าทายในยุคที่วงการภาพยนตร์มาถึงการเปลี่ยนผ่าน โดยที่ทั้ง 4 ชีวิตในทีมต้องฝ่าฟันความท้าทายมากมายเพื่อมุ่งไปให้ถึงฝั่งฝัน
นี่ถือเป็นหนังไทยเรื่องที่เฝ้ารอคอยมาหลายปี เพราะเป็นการกลับมาหยิบจับสร้างหนังอีกครั้งของผู้กำกับระดับชั้นครูของไทย อย่าง “อุ๋ย-นนทรีย์ มินิบุตร” ที่รับประกันงานสร้างและโปรดักชันที่ไว้วางใจได้ในระดับที่อุ่นใจ ทั้งจากผลงานและประสบการณ์ที่ผ่านมาของผู้กำกับท่านนี้ แล้วผลงานชิ้นนี้ก็น่าจะเป็นมาสเตอร์พีชอีกเรื่องของเขาเช่นเดียวกัน
มนต์รักนักพากย์ ได้นักเขียนชื่อดัง “เอก เอี่ยมชื่น” (จาก ฟ.ฮีแลร์ และ องค์บาก 2) มารับหน้าที่ปลุกปั้นเรื่องราวครั้งนี้ให้ ที่ถือว่าเป็นการหยิบเอาเสน่ห์ของวงการหนังไทยในอดีตมาตีแผ่ขึ้นจอให้กลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง เป็นหนึ่งในมนต์เสน่ห์ที่แทบจะหาไม่เจอแล้วในสังคมปัจจุบัน และยังอดีตที่คนยุคก่อนถวิลหา ซ้ำเป็นสิ่งที่คนรุ่นใหญ่ก็น่าจะประทับใจได้ไม่ยาก
แม้ว่าบทหนังของหนังเรื่องนี้จะไม่ได้มีอะไรที่แปลกใหม่อะไรสักเท่าไหร่ ยังคงร้อยเรียงเรื่องราวบนพื้นฐานของสูตรสำเร็จหนังไทยที่คุ้นเคย เพียงแต่ว่าการลงรายละเอียดต่าง ๆ ในแต่ละจุดนั้น หนังขยี้ออกมาได้ค่อนข้างทรงพลัง เก็บได้แทบจะทุกเม็ดของยุคสมัยและกาลเวลา อีกทั้งยังสร้างมิติของตัวละครต่าง ๆ ออกมาได้อย่างเหมาะเจาะและสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
ต้องชื่นชมเลยว่า มนต์รักนักพากย์ เป็นหนังที่เต็มไปด้วยงานโปรดักชันที่ค่อนข้างเก็บงานได้ละเอียด โดยเฉพาะการดีไซน์ฉากต่าง ๆ ที่เราไว้วางใจผู้กำกับอุ๋ยได้เลย เพราะงานของเขามักจะใส่ใจไปถึงองค์ประกอบเล็ก ๆ น้อย ๆ แทบจะไม่ให้มีอะไรหลุดออกมา การย้อมหนังให้กลับไปเมื่อ 50 ปีที่แล้ว เป็นงานดีไซน์ที่ลงตัว ทั้งฉากและแวดล้อมต่าง ๆ ล้วนเป็นสิ่งที่ทำการบ้านมาได้ค่อนข้างดี และเข้าขั้นยอดเยี่ยม
การดีไซน์ภาพและออกแบบมุมภาพของมนต์รักนักพากย์ ก็น่าประทับใจเช่นเดียวกัน จากฝีมือของผู้กำกับภาพรุ่นเก๋า-ระดับรางวัล “เปีย-ธีระวัฒน์ รุจินธรรม” (จาก นาคปรก หรือ รักนี้ที่รอคอย) เรียกได้ว่ายังคงเก็บเอกลักษณ์งานภาพของเขาเอาไว้ได้อย่างมั่นคง โดยเฉพาะเทคนิคการใช้แสงธรรมชาติเข้ามาช่วยเล่าเรื่อง เพิ่มบรรยากาศความละมุนและลึกซึ้งให้กับตัวหนังได้อย่างลงตัว
ทางด้านการแสดงก็ถือว่า มนต์รักนักพากย์ มีทีมนักแสดงระดับตัวตึงอีกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว “เวียร์ ศุกลวัฒน์” สวมวิญญาณมารับบทบาทนี้แบบที่ไม่ต้องปรับเปลี่ยนอะไร เขายังสามารถตีความตัวละครออกมาได้อย่างมีเสน่ห์ โดยที่ยังเป็นตัวของเขาเอง และการแสดงแนวดรามาก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งแนวถนัดที่พี่เวียร์สามารถพ่นไฟปล่อยพลังออกมาได้ถึง
ขณะที่นักแสดงสมทบคนอื่น อย่าง “หนูนา หนึ่งธิดา” หรือ “เก้า จิรายุ” ก็มาช่วยเติมเต็มความทรงพลังของทีมนักแสดงได้เป็นอย่างดี แต่คนที่โดดเด่นอีกคนที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ ก็คงจะเป็น “สามารถ พยัคฆ์อรุณ” ที่ถือว่าเป็นหนึ่งในบทบาทการแสดงที่ค่อนข้างดีที่สุดในอาชีพนี้ของเเลยก็ว่าได้ อาจจะเพราะว่าบทส่งเสริมตัวละครของเขาด้วยดี และเขาก็ทำมันออกมาได้ดี
มนต์รักนักพากย์ อาจจะว่าได้เป็นหนังที่เป็นเหมือนจดหมายรักให้กับหนึ่งในยุคที่รุ่งเรืองของวงการภาพยนตร์ไทยในอดีต สอดแทรกเหตุการณ์สำคัญของวงการนี้ และมันเต็มไปด้วยข้อความที่หนักแน่นและอิมแพค แม้ว่ามันจะดูธรรมดา ๆ ในสายตาหลายคน แต่หนังเรื่องนี้สามารถบดขยี้เสน่ห์ในอดีตตรงนี้ออกมาได้อย่างเปี่ยมล้น
นั่งดูไปก็แอบเสียดายไม่น้อย เพราะว่าหนังแบบนี้ควรจะมีโอกาสได้ลงโรงฉายบนจอใหญ่ ๆ ในโรงภาพยนตร์ เพราะหนังเต็มไปด้วยศักยภาพในงานสร้างและโปรดักชันที่มีเสน่ห์ เราอาจจะพูดได้เลยว่า มนต์รักนักพากย์ น่าจะเป็นอีกหนึ่งหนังไทยระดับคุณภาพอีกเรื่องของวงการหนังไทยในรอบปีนี้ เพียงแค่ความละเอียดในองค์ประกอบต่าง ๆ ก็ถือว่าเป็นมนต์เสน่ห์ที่โชยออกมาที่ทำให้เรา..แอบปาดน้ำตาแห่งความประทับใจ
ข้อมูลเกี่ยวกับหนัง มนต์รักนักพากย์
- ประเภท: ดรามา
- ผู้กำกับ: นนทรีย์ นิมิบุตร
- นำแสดงโดย: ศุกลวัฒน์ คุณารส, หนึ่งธิดา โสภณ, จิรายุ ละอองมณี, สามารถ พยัคฆ์อรุณ
- ความยาว: 136 นาที
- กำหนดฉายในไทย: 11 ตุลาคม 2023 (ที่ Netflix)