สี่เส้า (การัณยภาส ขำสิน / Thailand / 2015) เรื่องราวดราม่าน้ำตาแตกมิตรภาพและความรักระหว่างเพื่อนสนิทที่เติบโตมาด้วยกัน ท่ามกลางบรรยากาศโลเคชั่นเทือกเขาไร่ชาอันสวยงามและสิ่งแวดล้อมภาษาวัฒนธรรมเชื้อสายไทยจีน พระเอกคนกรุงฟุ้งฝอยเทคโนโลยี นางเอกครูสาวบนดอยอุดมการณ์กตัญญูรักบ้านเกิด รวมถึงตัวร้ายและเพื่อนสาวพยาบาลแสนดีที่มารวมกันเป็นสี่เส้าได้มีวี่แววน่าสนใจดีในแง่ของชุดตัวละครที่คลิเชซ้ำซากซึ่งถ้าหากมันแตกรายละเอียดให้เห็นมุมใหม่ๆ หรือเล่นล้อสะท้อนประเด็นอะไรบางอย่างกับหนังกับละครสไตล์เดียวกันนี้ที่มีอยู่ล้นภูมิภาคเอเชียมันคงจะน่าสนใจและน่าติดตามมากๆ แต่เสียดายที่สุดท้ายแล้วหนังไม่ได้นำพาเราไปไหนไกล จนรู้สึกเสียดายตลอดเวลาว่าหนังเรื่องนี้เป็นแค่การผลิตซ้ำย่ำอยู่กับที่ในเรื่องราวที่มีล้นอยู่แล้วในตลาดหนัง นิยายน้ำเน่าขายดี แต่เราไม่ได้เสพหนังเรื่องนี้ด้วยการแค่คลิกเข้าไปอ่านฟรีเหมือนกระทู้เรื่องแต่งในพันทิปนี่ และการการันตีคุณภาพด้วยความภาคภูมิใจจากปากผู้กำกับที่ได้ยินได้ฟังมาผ่านสื่อยิ่งทำให้ ‘สี่เส้า’ กลายเป็นความเศร้าที่แท้จริงยิ่งกว่าหนังทั้งเรื่อง ยิ่งไปกว่านั้นในมุมมองของคนดูหลายคนที่ได้รู้ได้ถามมามันได้กลายเป็นแค่หนึ่งในแนวทัพลดทอนความน่าเชื่อถือของหนังไทยให้ถอยเข้าใกล้ปากเหวมากขึ้นไปอีกไม่ต่างกับชะตากรรมของตัวละครร้ายในเรื่อง
จริงๆ แล้วตัวละครและนักแสดงก็น่าสนใจดีนะ ความสามารถทางการแสดงในฉากดราม่าน้ำตาแตกก็ไม่ขัดเขิน ตัวละคร อาเว่ย (เวฟ-คู เปย จง) กับ เสี่ยวผิง (เวนดี้ หว่อง) ที่พอรวมกับนักแสดงแล้วได้มุมที่ชวนติดตาม ด้วยความที่ตัวละครเป็นเชื้อสายจีนทำให้การพูดไม่ชัดของอาเว่ย และโมโทนในน้ำเสียงของเสี่ยวผิงมันมีเสน่ห์สำหรับเรา มันเกิดลักษณะเฉพาะบางอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นในตัวละครหนังไทย แล้วยิ่งอยู่ในหนังที่ออกไปทางซีรีส์เกาหลีแบบนี้ยิ่งทำให้เรื่องมีมิติบางอย่างทางการรับรู้ที่ขณะเขียนนี่ก็ยังบอกไม่ถูกแต่มันทำให้หนังมีเสน่ห์จนกลบตัวละคร กมล (เต้ย-พงศกร เมตตาริกานนท์) กับ อาฉิง (ฟาง-ธนันต์ธรญ์ นีระสิงห์) ที่ตั้งใจชูให้เป็นพระเอกนางเอกของเรื่องไปเลย เสียแต่ว่าในส่วนของการกระทำความรู้สึกนึกคิดตั้งแต่ในตัวบทมันตรงทื่อไปหน่อย และด้วยน้ำหนักมือของคนทำที่มีความอยากความใฝ่ฝันอันล้นเหลือที่จะทำหนังเรื่องนี้ออกมาให้ดีให้ถึงที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เลยถาโถมจนล้นทะลักเพราะความพยายามเกินไปกับการตั้งใจที่จะบีบน้ำตาคนดูด้วยความระทมบ่มช้ำ ซึ่งก็เรียกน้ำตาได้ผลอยู่บ้างเพียงแต่เป็นน้ำตาจากความขบขันให้ความกล้าเล่นกล้าใช้องค์ประกอบที่ซ้ำซากจำเจ ในมุมหนึ่งมันก็เป็นความผิดพลาดที่บันเทิงเริงอารมณ์ขันให้แก้ขัดได้บ้างอยู่เหมือนกัน มันผิดจากเป้าประสงค์ของหนังที่ต้องการเน้นดราม่ากระชากใจแต่กลายเป็นเสียงหัวเราะ บรรยากาศที่น่าจะชูหนังให้ดูดีขึ้นได้ก็กลายเป็นแค่มวลอากาศแต่ไม่ได้มีหน้าที่ในการบอกเล่าเรื่องราวที่เป็นประโยชน์หรือผลักดันเรื่องราวให้เกิดมิติทางอารมณ์หรือความคิดใดๆ ได้อย่างที่มันเอื้อให้หยิบมาใช้ให้เรื่องราวมันมีมิติได้ตลอดเวลา ให้ได้มากไปกว่าการที่คนทำปิดหูปิดตาจนไม่รู้ตัวว่าหลายอย่างที่ยัดเยียดลงไปในหนังมันกำลังทำร้ายหนังไปพร้อมกับตัวละครที่ฟูมฟายกับความรักจนมองข้ามทุกสิ่งอย่างและทำร้ายคนรอบข้างในที่สุด แต่ทั้งหมดทั้งมวลสิ่งที่ต้องชื่นชมก็คือความพยายามนั่นแหละ…การที่ใส่ของเต็มที่ทั้งตัวโปรดิวเซอร์ ผู้กำกับ และคนเขียนบทซึ่งเป็นคนๆ เดียวกันอีกนั่นแหละ แล้วยังเป็นหนึ่งในนักแสดงสมทบด้วยนะ…ก็เห็นในความพยายามมากๆ ในการก่อหวอดดราม่าให้กระแทกถึงบ่อน้ำตาคนดู ใส่ไม่ยั้งทั้งในแง่เรื่องราวการหักมุมในตัวบทที่ไม่แคร์ความเป็นจริงใดๆ ซึ่งมีผลต่อความเชื่อในแต่ละสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมากๆ ถึงตอนท้ายเครดิตจะแก้ต่างด้วยการใส่เท็กซ์มากลบความพร่อง และทิศทางการกำกับที่กล้าเล่นมากๆ เสียจนซีรีส์ชิงรักหักสวาทไม่ว่าจะฝั่งเกาหลี ญี่ปุ่น ฮ่องกง หรือแม้แต่ตำนานรักดอกเหมยคงจะต้องหลีกทางให้ความพีคบรมโคตรจะพีคของฉากบทสรุปที่สุดขอบเขตความคาดหวังของเราไปไกลมาก ซึ่งถ้าหากบทแบบนี้ไปอยู่ในมือของผู้กำกับที่ถูกจ้างทำแค่ส่งๆ ความพยายามแล้วที่จะทำให้หนังมันดีจนสุดความสามารถสุดกำลังที่ฟุ้งอยู่ในหนังจนเราสัมผัสได้ก็คงไม่เกิดขึ้น ทำให้เรายังอยากดูหนังเรื่องต่อๆ ไปของคนทำเจ้าเดียวกันนี้อีกครั้ง รอวันที่จะสามารถลดทอนหรือเพิ่มเติมแต่งให้เข้าทางกับตรรกะความรู้สึกและพฤติกรรมของมนุษย์โลก และอำพรางความเฉิ่มเชยได้แนบเนียนกว่านี้ วันนั้นความกระหายใคร่อยากคงจะสมดุลกับวิธีการทางภาพยนตร์ได้พอดีพองามแล้ว