ลุยซ์ เฟลิเป้ สโคลารี่ มองว่าการความเห็นไม่ตรงกับ ดิดิเยร์ ดร็อกบา และ นิโคลาส์ อเนลก้า นั้นส่งผลให้เขาพ้นจากตำแหน่งกุนซือของ เชลซี
โค้ชวัย 72 ปีย้ายเข้าสู่ถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ด้วยชื่อเสียงที่ยอดเยี่ยมเพื่อรับตำแหน่งต่อจาก อัฟราม แกรนท์ ในปี 2008
กระนั้นเขาคุมทีมได้เพียงแค่ 7 เดือนเท่านั้นและ สโคลารี่ มองว่านั้นเป็นเพราะความสัมพันธ์อันยากลำบากกับนักเตะ 2 คนของทีม
“ผมมีสไตล์ความเป็นผู้นำที่มันขัดกับนักเตะอยู่ 1-2 คน” สโคลารี่ เผย
เมื่อถามว่านักเตะที่ว่าคือใคร สโคลารี่ เปิดเผยว่าเป็น อเนลก้า กับ ดร็อกบา นั้นโดยรายหลังมีความเห็นไม่ตรงกันเกิดขึ้นในตอนที่พบอาการเจ็บ
กร็อกบา อยากเดินทางไป คานส์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในขั้นตอนการรักษาแต่ สโคลารี่ มีความเห็นว่านักเตะควรอยู่ในลอนดอนต่อมากกว่า
อเนลก้า ทำผลงานได้ดีในช่วงที่ ดร็อกบา ต้องหายหน้าไปและพอทั้งสองคนกลับมาพร้อมใช้งาน อดีตกองหน้าเลือดน้ำหอมก็เป็นดาวซัลโวของลีกด้วยการยิงไป 19 ลูก
แผนที่ สโคลารี่ มองไว้คือการจัดไลน์อัพที่ทำให้ ดร็อกบา และ อเนลก้า ลงสนามโชว์ฟอร์มได้พร้อมกัน แต่ก็กลายเป็นสิ่งที่ยากกว่าเขาจินตนาการเอาไว้
“อเนลก้า เป็นดาวซัลโวของลีกในตอนนั้น เราได้พูดคุยกันและ อเนลก้า บอกว่า ‘ผมเล่นเพียงแค่ตำแหน่งเดียว’ ดังนั้นมันขาดความเป็นเพื่อน, ความเคารพ, ความพยายามในการเล่นร่วมกับ ดร็อกบา”
“นั่นคือตอนที่มันเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นผมกับ ดร็อกบา ก็ได้เจอกันนะ หนสุดท้ายที่พบกันคือที่รัสเซียในปี 2018 เราพูดคุยกันอย่างเปิดกว้าง”
“ไม่ได้มีเจตนาร้ายกับเขาหรือ อเนลก้า เลย แต่มันเกิดขึ้นแล้วและผมเสียหนึ่งในโอกาสอันยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตของผมไป”
คาร์โล อันเชลอตติ เข้ามารับงานต่อจาก สโคลารี่ และโน้มน้าวให้ อเนลก้า กับ ดร็อกบา ว่าเล่นร่วมกันในแดนหน้าได้จนสุดท้าย เชลซี ลงเอยด้วยการคว้าดับเบิ้ลแชมป์ในซีซั่นนั้นและทั้งสองคนก็อยู่ในฟอร์มที่ดี
นับจากนั้นมา สโคลารี่ ก็ผ่านการคุมสโมสรในบราซิล, จีนและอุซเบกิสถาน รวมถึงการคุมทีมชาติบราซิลลุยศึกบอลโลกในปี 2014
อย่างไรก็ตามการโดนปลดออกจากตำแหน่งที่ “สิงห์บลูส์” ยังฝังลึกในใจและตัวเขาก็ยังอยากทำงานในอังกฤษต่อไป
“ผมอยากทำงานในอังกฤษต่อไปนะ ผมคุมได้ทุกทีมแหละ ผมว่ามันวิเศษมาก”
“เราเดินทางไปเยือน ปอร์ทสมัธ และ ซันเดอร์แลนด์ ในสนามจุดได้ 20,000 คนและมีอยู่ 19,000 คนที่เชียร์ทีมของเมืองพวกเขา ผมว่ามันสวยงามมาก พวกเขาไม่ได้เชียร์ทีมใหญ่เลย, พวกเขาเชียร์สโมสรของพวกเขา”