เกมการแข่งขัน ระหว่าง ขุนพลสิงโตคำราม ทีมชาติ อังกฤษ กับ ขุนพลโคนม ทีมชาติ เดนมาร์ก ในศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งยุโรป หรือ ฟุตบอลยูโร 2020 รอบรองชนะเลิศ โดยเล่นกันที่สนาม เวมบลีย์ สเตเดี้ยม, กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษในค่ำคืนวันที่ 7 กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา
เกมนี้ ทีมชาติ อังกฤษ ภายใต้การคุมทีมของกุนซือ แกเร็ธ เซาธ์เกต มาเล่นในระบบ 4-2-3-1 นำทีมโดย จอห์น สโตนส์ ปราการหลังร่างยักษ์จากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมสัน เมาน์ท เพลย์เมกเกอร์ตัวทำเกมจากเชลซี และ แฮร์รี่ เคน ศูนย์หน้าตัวปิดบัญชีจากท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์
ขณะที่ทางฝั่ง ทีมชาติ เดนมาร์ก ภายใต้การคุมทีมของกุนซือ แคสเปอร์ ฮูลมานด์ มาเล่นในระบบ 3-4-3 นำทีมโดย แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ผู้รักษาประตูจอมหนึบจากเลสเตอร์ ปิแอร์ เอมิล ฮอยเบิร์ก มิดฟิลด์ห้องเครื่องจากท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ และ มาร์ติน เบรธเวท กองหน้าตัวจบสกอร์จากบาร์เซโลน่า
นาที 12
ทีมชาติ อังกฤษ มีโอกาสได้จบเหน่ง ๆ เป็นจังหวะ แฮร์รี่ เคน ถอยลงมาล้วงบอลลึกตรงกลาง พลิกได้แล้วแทงบอลเข้าไปยังเขตโทษฝั่งซ้ายให้ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ได้ติดเครื่อง เลี้ยงจี้เข้าหา อันเดรียส คริสเตนเซ่น แล้วกระชากตัดเข้าใน ไปซัดเร็วหักข้อด้วยขวา แต่โดนบอลไม่ดี บดกลิ้งเข้ามือ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ผู้รักษาประตูเดนมาร์ก รับเข้าซองสบาย
นาที 14
ทีมชาติ อังกฤษ บุกต่อเนื่องขึ้นมาทางกราบขวา ไคล์ วอล์คเกอร์ ตั้งป้อมบรรจงหยอดบอลโด่งมาที่หน้าหัวกระโหลกให้ แฮร์รี่ เคน จับบอลลงได้แล้วพลิกวอลเลย์ด้วยขวาเต็มข้อทันที แต่บอลก็ยังเหินข้ามคานออกไป แบบไม่ได้ลุ้นเลย
นาที 15
ทีมชาติ เดนมาร์ก ได้ตอบโต้ขึ้นมาบ้าง เป็นจังหวะที่ คัลวิน ฟิลลิปส์ ทำพลาดเสียบอลตรงกลางสนาม ปิแอร์-เอมิล ฮอยเบิร์ก ฉกได้จากเท้า แล้วลากมาเองถึงหน้าเขตโทษ ก่อนจะกดเลียดเน้น ๆ ด้วยขวานอกกรอบ บอลพุ่งแรงแต่ไม่หนีมือเท่าไหร่ จอร์แดน พิคฟอร์ด ผู้รักษาประตูอังกฤษ รับไว้ได้สบาย แล้วจากนั้น ก็เป็น พิคฟอร์ด ที่ออกบอลไม่ดี ไปโดน มิคเคล ดัมส์การ์ ดักได้ที่หน้าเขตโทษของตัวเอง ก่อนจะไหลให้มาร์ติน เบรธเวท ได้พยายามจะซัดเร็ว แต่ก็แฉลบแนวรับอังกฤษ กระดอนหลุดกรอบออกไปอย่างน่าเสียดาย
นาที 25
ทีมชาติ เดนมาร์ก ได้ลุ้นอีกครั้ง เป็นจังหวะ ต่อบอลกันขึ้นมาถึงหน้าเขตโทษ แคสเปอร์ โดลเบิร์ก ฝาบอลมาที่หน้าเขตโทษด้านซ้ายให้ มิคเคล ดัมส์การ์ด ได้ค่อย ๆ เลี้ยงจี้เข้าไปในเขตโทษ แล้วหาช่องโยกมาปั่นด้วยขวาเน้น ๆ ทะลุบล็อกแนวรับอังกฤษสองคน บอลพุ่งแรงโค้งสวย เฉียดสามเหลี่ยมขวามือ หลุดออกหลังไปนิดเดียว จอร์แดน พิคฟอร์ด ผู้รักษาประตูอังกฤษ ถึงกับต้องโวยเพื่อนอย่างหนัก ที่ปล่อยให้ยิงง่ายเหลือเกิน
นาที 29 GOAL!!!
ขุนพลโคนม ทีมชาติ เดนมาร์ก ได้ประตูขึ้นนำไปก่อน 1-0 !!! เป็นจังหวะ ได้ฟรีคิกระยะอันตราย หน้ากรอบเขตโทษเยื้อง ๆ ไปทางซ้าย แล้วเป็น มิคเคล ดัมส์การ์ด วิ่งมาบรรจงปั่นด้วยขวาข้ามกำแพง พุ่งแรงโค้งสวยหนีมือ จอร์แดน พิคฟอร์ด ผู้รักษาประตูอังกฤษ เสียบใต้คาน เข้าประตูไป ตุงตาข่าย อย่างสวยงาม
นาที 37
ทีมชาติ อังกฤษ เกือบจะได้ประตูตีเสมอ เป็นจังหวะ บูกาโย่ ซาก้า เลี้ยงจี้พาบอลขึ้นมาเองทางกราบขวา ก่อนจะไหลบอลให้ แฮร์รี่ เคน ได้วิ่งสอดหลุดไปในกรอบเขตโทษฝั่งขวา แล้วตวัดเร็วเข้ากลางไปแฉลบบล็อก ยังกระดอนมาที่หน้าประตูเข้าทาง ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ได้วิ่งโฉบมาแปด้วยขวาเน้น ๆ โล่ง ๆ ไม่จับ แต่ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ผู้รักษาประตูเดนมา โชว์ซุปเปอร์เซฟ ใช้ตัวเซฟ บล็อกลูกยิงออกมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ
นาที 39 GOAL!!!
ขุนพลสิงโตคำราม ทีมชาติ อังกฤษ ได้ประตูตีเสมอเป็น 1-1 !!! เป็นจังหวะเริ่มที่ แฮร์รี่ เคน ถอยลงมาล้วงบอลที่กึ่งกลางสนาม พลิกบอลได้แล้วแทงบอลทะลุช่องเร็วให้ บูกาโย่ ซาก้า ได้หลุดไปถึงเกือบสุดเส้นหลังในกรอบเขตโทษฝั่งขวา ก่อนจะปาดเลียดมาที่หน้าประตูให้ ราฮีม สเตอร์ลิง แต่ ซิมง เคียร์ กองหลังกัปตันทีม พยายามจะสไลด์ขวาง แต่ผิดเหลี่ยม เปลี่ยนทางเข้าประตูตัวเองไปแบบงง ๆ
หมดเวลาครึ่งแรก ทั้งสองทีมยังคงเล่นกันได้อย่างสนุกสูสี ผลัดกันรุกผลัดกันรับอย่างไม่กลัว แล้วเป็นทีมชาติ เดนมาร์ก ที่มาได้ประตูขึ้นนำไปก่อน แต่ทีมชาติ อังกฤษ ก็ยังตามตีเสมอได้ทันควัน สุดท้ายสกอร์ตอนนี้ อังกฤษ 1 เดนมาร์ก 1 !!!
นาที 52
เปิดฉากครึ่งหลังมา เดนมาร์ก ก็บุกใส่ทันที จังหวะนี้ โยอาคิม เมห์เล่ ส่งบอลขึ้นหน้าต่อมาให้ แคสเปอร์ โดลเบิร์ก ได้วิ่งมาซัดที่หน้าหัวกระโหลก แต่ จอร์แดน พิคฟอร์ด ผู้รักษาประตูอังกฤษ ก็ยังทิ้งตัวปัดไว้ได้ทัน ทว่ามีธงว่าล้ำหน้า ถ้าเข้าก็ไม่ได้ประตูอยู่ดี
นาที 54
ทีมชาติ อังกฤษ เกือบได้ประตูขึ้นนำ เป็นจังหวะ ได้ฟรีคิกบริเวณริมเส้นขวา เมสัน เมาน์ท บรรจงเปิดบอลโค้งมาที่กลางประตู แล้วเป็น แฮร์รี่ แมกไกวร์ ได้เทคตัวขึ้นโหม่งสะบัดเต็ม ๆ บอลกำลังจะเสียบเสาไกลเข้าประตูอยู่แล้ว แต่ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ผู้รักษาประตูเดนมาร์ก ผวาพุ่งไปปัดไว้ได้ทันหวุดหวิด
นาที 58
ทัพโคนม ทีมชาติ เดนมาร์ก บุกขึ้นมาทางกราบขวา ปิแอร์-เอมิล ฮอยเบิร์ก จ่ายเข้ากลาง มาร์ติน เบรธเวท ข้ามหลอก บอลเลยมาถึงหัวกระโหลกเข้าทาง แคสเปอร์ โดลเบิร์ก ได้พลิกตัวมากดด้วยซ้ายเน้น ๆ แต่บอลพุ่งแรงเลียดไปตรงตัว จอร์แดน พิคฟอร์ด ผู้รักษาประตูอังกฤษ รับไว้ได้สบาย
นาที 60
ทีมชาติ อังกฤษ ขึงเกมรุกอยู่ที่หน้าเขตโทษของเดนมาร์ก จังหวะนี้ เมสัน เมาน์ท ป้ายออกไปทางซ้ายของกรอบเขตโทษให้ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ได้ดึงจังหวะรอเพื่อน แล้วไหลให้ ลุค ชอว์ ที่วิ่งสอดตัดหลังเติมเกมสูงขึ้นมา ได้หลุดไปถึงสุดเส้นหลัง แล้งปาดเลียดเข้ากลาง แต่เป็น ปิแอร์-เอมิล ฮอยเบิร์ก ตามลงมาช่วยสกัดได้ทัน บอลกลิ้งผ่านหน้าปากประตูตัวเอง หลุดออกหลังไปแบบได้เสียว
นาที 64
ทีมชาติ อังกฤษ บุกมาอีกระลอก จังหวะนี้ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ลากตัดจากกราบซ้ายเข้ากลาง แล้วจ่ายยัดเข้าไปตรงกลางเขตโทษให้ บูกาโย่ ซาก้า พยายามจะชิ่งคืน แต่ติดบล็อก บอลกระดอนอยู่ในเขตโทษฝั่งซ้ายเข้าทาง เมสัน เมาน์ท ได้ปั่นเร็วด้วยขวาเน้น ๆ แต่บอลก็เบาแถมตรงตัวของ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ผู้รักษาประตูเดนมาร์ก รับไว้ได้สบาย
นาที 69
ทัพสิงโตคำราม ทีมชาติอังกฤษ จัดการแก้เกม ด้วยการเปลี่ยนเอา แจ๊ค กรีลิช เพลย์เมกเกอร์จากแอสตัน วิลล่า ลงสนามมาช่วยลากเลื้อยปั้นเกมรุก เพิ่มความวูบวาบ แทนที่ เจ้าหนู บูกาโย่ ซาก้า ที่วันนี้โชว์ฟอร์มไม่ออก ไปพักข้างสนาม
นาที 72
ทีมชาติ อังกฤษ บุกขึ้นมาด้านขวาของกรอบเขตโทษ เมสัน เมาน์ท ได้บอลแล้วโยกหาช่องเปิดด้วยขวาเน้น ๆ บอลไปแฉลบตัวประกบติดไซด์ก้อยกลายเป็นดี ลอยโด่งเกือบจะเสียบใต้คานอยู่แล้ว แต่ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ผู้รักษาประตูเดนมาร์ก ยังไม่เหม่อ ปัดทิ้งข้ามคานไว้ได้ทันหวุดหวิด ได้เป็นเตะมุม
นาที 80
เข้าสู่ช่วงท้ายเกม ทีมชาติ อังกฤษ พยายามบุกหาประตูอย่างหนัก จังหวะนี้ ลุค ชอว์ ครอสเข้าไปที่กลางประตู ซิมง เคียร์ สกัดออกมาหน้าเขตโทษเข้าทาง คัลวิน ฟิลลิปส์ ได้วิ่งมาตะบันด้วยขวาเน้น ๆ นอกกรอบเขตโทษ แต่บอลก็หลุดกรอบออกไปไกล แบบไม่ได้ลุ้นเลย
นาที 82
ทีมชาติ อังกฤษ ได้ฟรีคิกทางริมเส้นฝั่งซ้าย ลุค ชอว์ เปิดบอลโด่ง โค้งสวยมาที่กลางประตู แล้วเป็น จอห์น สโตนส์ ได้ถอยมาโหม่งสะบัด แต่ตัวถลำไปหน่อย บอลพุ่งหลุดเสาไกลขวามือ ออกหลังไปอย่างน่าเสียดาย
นาที 94
ช่วงต่อเวลาพิเศษ ทีมชาติ อังกฤษ ยังครองเกมบุกอย่างต่อเนื่อง จังหวะนี้ ไคล์ วอล์คเกอร์ ดันสูงขึ้นมาทางกราบขวา ก่อนจะจ่ายเข้าเขตโทษให้ แฮร์รี่ เคน ได้โฉบมาเอาบอลที่เสาแรก แล้วแต่งหาช่องซัดด้วยขวา ยัดมุมแคบทันที แต่ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ผู้รักษาประตูเดนมาร์ก ยังทิ้งตัวปัดไว้ได้ทัน
นาที 104 GOAL!!!
ทีมชาติ อังกฤษ ได้ประตูขึ้นนำ 2-1 !!! เป็นจังหวะ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง เลี้ยงลุยขึ้นมาทางขวา ก่อนเลี้ยงจี้เข้าเขตโทษ แล้วโดน โยอาคิม เมห์เล่ แหย่ขาสกัดล้มลงไปแล้ว ผู้ตัดสิน ดานนี่ มัคเคลี จากเนเธอร์แลนด์ ขอเช็ค VAR อยู่สักพัก ก่อนจะเป่าให้เป็นลูกจุดโทษของอังกฤษ แล้วเป็น แฮร์รี่ เคน รับหน้าที่สังหาร ยิงไปติดเซฟของ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ผู้รักษาประตูเดนมาร์ก กระดอนกับมาเข้าทางเจ้าตัว ได้ซ้ำดาบสองเข้าประตูไป ไม่พลาด
นาที 114
ทีมชาติ เดนมาร์ก พยายามจะตั้งเกมบุกเพื่อตีเสมอให้ได้ จังหวะนี้ มาร์ติน เบรธเวท ได้บอลที่หน้ากรอบเขตโทษ พยายามโยกหนีตัวประกบแล้วซัดเองด้วยขวาเน้น ๆ แต่ จอร์แดน พิคฟอร์ด ผู้รักษาประตูอังกฤษ ยังปัดออกหลังไปได้ทัน
นาที 120
ทีมชาติ อังกฤษ ตัดบอลได้แล้วสวนกลับเร็ว แฮร์รี่ เคน จ่ายให้กับ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ได้หลุดขึ้นมาทางขวา ก่อนจะติดเครื่อง เลี้ยงลุยเข้าไปในเขตโทษ แล้วโยกหลอกตัวประกบ ไปซัดมุมแคบยัดไปที่เสาแรกทันที แต่ก็ยังไม่ผ่านมือของ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ผู้รักษาประตูเดนมาร์ก ที่ยืนคุมเสาอยู่แล้ว เซฟไวไ้ด้ทัน
หมดเวลาการแข่งขัน เป็นทีมชาติ อังกฤษ เฉือนเอาชนะทีมชาติ เดนมาร์ก ในช่วงต่อเวลาพิเศษไปได้ด้วยสกอร์ 2-1 !!! ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ โดยจะพบกับทีมชาติ อิตาลี ในวันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม 2564 ที่จะถึงนี้