เมสซิอัสฮีโร่!! ซัดท้ายเกมช่วย “เอซี มิลาน” บุกมาเฉือนเอาชนะ “แอต มาดริด” ไปได้ด้วยสกอร์ 1-0

เกมการแข่งขัน ระหว่าง เจ้าถิ่น ทัพตราหมี แอตเลติโก้ มาดริด (สเปน) เปิดสนาม ว่านต๋า เมโตรโปลีตาโน่, กรุงมาดริด ประเทศสเปน ต้อนรับการมาเยือนของทัพปีศาจแดงดำ เอซี มิลาน (อิตาลี) ในศึกฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กรุ๊ป บี นัดที่ 5 เมื่อค่ำคืนวันพุธที่ 24 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา

เกมนี้ เจ้าถิ่น แอตเลติโก้ มาดริด ภายใต้การคุมทีมของกุนซือ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ มาเล่นในระบบ 3-5-2 นำทีมโดย โกเก้ กองกลางห้องเครื่องตัวคุมจังหวะเกม ยานนิค แฟร์เรร่า การ์ราสโก้ ปีกจอมลากเลื้อย และ หลุยส์ ซัวเรซ ศูนย์หน้าดาวซัลโวของทีม

ขณะที่ทางฝั่งทีมเยือน เอซี มิลาน ภายใต้การคุมทีมของกุนซือ สเตฟาโน่ ปิโอลี่ มาเล่นในระบบ 4-2-3-1 นำทีมโดย ซานโดร โตนาลี่ มิดฟิลด์ห้องเครื่อง อเล็กซิส ซาเลอมาเกอร์ส ตัวทำเกมจอมพลิ้ว และ โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ดาวยิงตัวจบสกอร์ของทีม

นาที 3

เปิดฉากมา เป็นทางฝั่งเจ้าถิ่น แอตเลติโก้ มาดริด ที่ได้ทักทายก่อน แถมเกือบได้ประตูขึ้นนำอย่างรวดเร็ว จากจังหวะ หลุยส์ ซัวเรซ ขยับมาโหม่งเช็ดต่อให้ ยานนิค แฟร์เรร่า การ์ราสโก้ ได้หลุดขึ้นมาทางริมกรอบเขตโทษฝั่งซ้าย สับขาหลอกหนึ่งที ก่อนจะครอสพุ่งไปที่กลางประตูให้ โรดริโก้ เด ปอล วิ่งสอดมาแปเน้น ๆ ด้วยขวาแบบไม่จับ ทว่าบอลไม่หนีตัวเท่าไหร่แล้วเป็น ซิเปรียน ตาตารูซานู ผู้รักษาประตูทีมเยือน โชว์ซุปเปอร์เซฟ ผวาปัดทิ้งออกไปได้ทันเฉียดฉิว สุดท้ายมีธงยกขึ้นมาว่าเป็นลูกล้ำหน้าตั้งแต่จังหวะแรกแล้ว ถ้าเข้าก็อาจจะไม่ได้ประตูอยู่ดี

นาที 7

ทีมเยือน เอซี มิลาน ได้ทักทายบ้าง จากจังหวะความสามารถเฉพาะตัวของ บราฮิม ดิอาซ พลิกบอลแล้วทำชิ่ง 1-2 กับ อเล็กซิส ซาเลมาเกอร์ส พลิ้วแหวกคู่แข่งสองสามคนขึ้นมาถึงหน้าหัวกระโหลกได้สวย ก่อนที่เจ้าตัวจะตัดสินใจซัดเร็วด้วยขวาเน้น ๆ นอกกรอบ ทว่าหวดโดนบดไปหน่อย สุดท้ายบอลปลิ้นกระดอนพื้น ถากเสาซ้ายมือ หลุดออกหลังไปไกล ยังไม่ได้ลุ้นอะไร

นาที 19

เจ้าถิ่น แอตเลติโก้ มาดริด ตัดบอลได้แล้วสวนกลับเร็ว จังหวะนี้ทิ้งยาวมาให้ ยานนิค แฟร์เรร่า การ์ราสโก้ ครองบอลดึงจังหวะรอเพื่อนทางซ้าย เจ้าตัวไหลย้อนเข้ากลางสั้น ๆ ให้ โกเก้ ไหลต่อเร็วมาที่หน้าเขตโทษด้านขวาให้ โรดริโก้ เด ปอล แต่งหนึ่งที ก่อนจะตะบันด้วยขวาเน้น ๆ เต็มข้อนอกกรอบ ส่งบอลพุ่งแรง เหินข้ามคาน หลุดออกหลังไปไกล

นาที 21

ทีมเยือน เอซี มิลาน ดันสูงขึ้นมาต่อบอลขึงเกมรุกอยู่ที่หน้าเขตโทษของเจ้าถิ่น จังหวะนี้ ฟร้องค์ เกสซีเย่ บรรจงหยอดบอลโด่ง ลอยลึกเข้าไปที่หน้าเสาไกลขวามือให้ ปิแอร์ คาลูลู ที่ดันสูงวิ่งสอดหุบเข้ามา เบียดขึ้นโหม่งเอาชนะ มาริโอ เอร์โมโซ่ ได้โขกเหน่ง ๆ ทว่าบอลเบาแถมตรงตัวของ ยาน โอบลัค ผู้รักษาประตูเจ้าถิ่น รับสบาย

นาที 22

เจ้าถิ่น แอตเลติโก้ มาดริด บุกขึ้นมาทางกราบขวา จังหวะนี้ โรดริโก้ เด ปอล จ่ายขนานเส้นให้ มาร์กอส ยอเรนเต้ วิ่งสอดไปรับบอล หลุดขึ้นมาถึงริมกรอบเขตโทษ ก่อนจะครอสเลียดเข้าไปที่กลางประตูให้ อองตวน กรีซมันน์ ได้โฉบมาง้างเท้าซัดด้วยขวาแต่ดันแปก ปล่อยให้บอลกระดอนเลยไปถึง หลุยส์ ซัวเรซ พยายามจะสร้างสรรค์เกมรุกก็ยังเปิดไปโดนสกัดออกมาไม่มีอะไร

นาที 34

ทีมเยือน เอซี มิลาน ได้ตอบโต้ขึ้นมาบ้าง จังหวะนี้ ซานโดร โตนาลี่ ป้ายบอลออกไปยังริมเส้นฝั่งขวาให้ ปิแอร์ คาลูลู ได้ตั้งป้อมบรรจงเปิดบอลโค้ง ลอยลึกข้ามไปในเขตโทษฝั่งซ้ายให้ อเล็กซิส ซาเลมาเกอร์ส วิ่งสอดมาวางเท้าฮาล์ฟวอลเลย์ด้วยซ้ายเต็ม ๆ ส่งบอลเหินข้ามคาน หลุดกรอบเสาแรกซ้ายมือออกไปไกล

นาที 40

เข้าสู่ท้ายครึ่งแรก เจ้าถิ่น ทัพตราหมี แอตเลติโก้ มาดริด เป็นฝ่ายยกระดับเกมขึ้นมาได้บุกมากขึ้นกว่าช่วงแรก แต่ทว่าภาพรวมยังคงเป็นทีมเยือน เอซี มิลาน ที่ดูจะครองบอลทำเกมรุกได้ดีกว่า สุดท้ายยังถือว่าทั้งคู่ยังสสี โอกาสลุ้นแบบจะแจ้งแทบไม่มีให้แฟน ๆ ได้เห็น

หมดเวลาครึ่งแรก ทั้งสองทีมยังเล่นกันได้อย่างสูสี รูปเกมดำเนินไปอย่างค่อนข้างรัดกุมตามสไตล์ของทั้งคู่ โดยเป็นทางฝั่งทีมเยือนจากอิตาลี ที่ทำได้ดีกว่าเล็กน้อย ขณะที่ทัพตราหมี สร้างสรรค์โอกาสได้น้อย แถมแทบจะไม่ตรงกรอบเลยสักครา สุดท้ายยังทำอะไรกันไม่ได้ สกอร์ตอนนี้ แอตมาดริด 0 มิลาน 0 !!!

นาที 47

เปิดฉากครึ่งหลังมา เป็นทางฝั่งทีมเยือน เอซี มิลาน ที่ได้ลุ้นทักทายก่อน จากจังหวะ ตัดบอลได้ทางบริเวณมุมกรอบเขตโทษด้านขวา อเล็กซิส ซาเลมาเกอร์ส ดึงจังหวะพลิ้วหลอกคู่แข่งมาสอง ก่อนจะลากตัดเข้ากลางแล้วซัดเร็วด้วยซ้ายหน้ากรอบเน้น ๆ ส่งบอลพุ่งแรงน่ากลัว ทว่าทิศทางไม่หนีมือเท่าไหร่ ยาน โอบลัค ผู้รักษาประตูเจ้าถิ่น พุ่งไปคว้าเอาไว้ได้ทัน อย่างไม่ยากเย็น

นาที 49

เจ้าถิ่น แอตเลติโก้ มาดริด ได้ตอบโต้ขึ้นมาบ้าง จากจังหวะ ตัดบอลได้แล้วสวนกลับเร็วจ่ายมาถึง หลุยส์ ซัวเรซ ได้เบิ้ลบอลป้ายออกซ้ายให้ โตมัส เลอมาร์ ได้ลากเข้าไปในเขตโทษ เจ้าตัวไขว้หลอกโยกหนี ซานโดร โตนาลี่ ตัดเข้าใน ก่อนจะกดเลียดหักข้อด้วยขวาเน้น ๆ ยัดไปที่เสาแรก ติดเซฟของ ซิเปรียน ตาตารูซานู ผู้รักษาประตูทีมเยือน ที่ยังยืนตำแหน่งได้ดี ล้มตัวคว้าเอาไว้ได้ทัน

นาที 50

เจ้าถิ่น แอตเลติโก้ มาดริด บุกขึ้นมาอีกระลอก จังหวะนี้ ทำชิ่งประสานงานกันขึ้นมาสวยถึง หลุยส์ ซัวเรซ ถอยลึกลงมาเบิ้ลบอลให้ อองตวน กรีซมันน์ ทางกราบขวา ได้กระชากหนี สเตฟาน ซาวิช ลากบอลหลุดทะลุเข้าไปในเขตโทษฝั่งขวา ก่อนจะปาดเลียดไปที่หน้าเสาแรกให้ ยานนิค แฟร์เรร่า การ์ราสโก้ วิ่งโฉบตัดหน้า ซิม่อน เคียร์ มาจิ้มด้วยซ้ายเน้น ๆ ไม่จับ ส่งบอลถากเสาแรกขวามือ หลุดออกหลังไปเอง ชนิดได้เสียว

นาที 58

ทีมเยือน เอซี มิลาน บุกขึ้นมาทางกราบซ้าย จังหวะนี้เป็น เตโอ แอร์กน็องเดซ ดันสูงมารับบอล เจ้าตัวไม่มีช่องเลือกไหลเข้ากลางมาที่หน้าเขตโทษให้ ฟร้องค์ เกสซีเย่ ได้แต่งหนึ่งที ก่อนจะขอลองก้มหน้าตะบันด้วยขวาเน้น ๆ เต็มข้อนอกกรอบกว่า 35 หลา ส่งบอลพุ่งเหินข้ามคาน ลอยหลุดออกหลังไปไกลอย่างไม่ได้ลุ้นอะไรเลย

นาที 62

ทีมเยือน เอซี มิลาน ได้ฟรีคิกบริเวณมุมกรอบเขตโทษฝั่งซ้าย เตโอ แอร์กน็องเดซ บรรจงเปิดบอลโด่ง โค้งสวยเข้าไปลุ้นที่หน้าประตู แล้วเป็น ซิม่อน เคียร์ โฉบโถมมาโหม่งคนเดียวเน้น ๆ ไม่กี่หลา ทว่าสะบัดโดนใต้ลูกมากไปหน่อย กองหลังทีมชาติเดนมาร์กส่งบอลพุ่งเหินข้ามคาน ลอยหลุดออกหลังไปอย่างน่าเสียดายสุด ๆ

นาที 65

เกมดำเนินผ่านมาเกินหนึ่งชั่วโมง ทั้งสองทีมแก้เกมด้วยการเปลี่ยนตัวกันยกใหญ่ โดยทางฝั่งเจ้าถิ่น แอตเลติโก้ มาดริด ส่งเอา เรนาน โลดี้ และ โจอากิน กอร์เรอา ลงทาเล่นแทน มาริโอ เอร์โมโซ่ กับ โตมัส เลอมาร์ ส่วนฝั่งทีมเยือน เอซี มิลาน จัดการส่ง อเลสซานโดร ฟลอเรนซี่, จูเนียร์ เมสซิอัส และ ติเอมูเอ้ บากาโยโก้ ลงมาเล่นแทน ปิแอร์ คาลูลู, ซานโดร โตนาลี่ และ ราเด้ ครูนิช

นาที 66

ทีมเยือน เอซี มิลาน ต้องมาใช้โควต้าเปลี่ยนตัวเพิ่มอย่างรวดเร็ว เมื่อ โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ศูนย์หน้าทีมชาติฝรั่งเศส มีอาการบาดเจ็บเล่นต้องไม่ไหว ทัพปีศาจแดงดำตัดสินใจส่งอาวุธหนักอย่าง ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ศูนย์หน้าตัวเก๋า ลงสนามมาเล่นแทนในตำแหน่งเดียวกัน

นาที 71

ทีมเยือน เอซี มิลาน พลาดโอกาสทองที่จะได้ประตูขึ้นนำ จากจังหวะ ทุ่มไกลทางฝั่งซ้ายขึ้นหน้ามาให้ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ได้ดึงจังหวะดีดบอลทะลุช่องตัดหลังแนวรับให้ จูเนียร์ เมสซิอัส ได้วิ่งสอดไปเอาบอลในเขตโทษฝั่งซ้าย ก่อนจะตวัดเลียดย้อนมาที่จุดโทษถวายพานให้ ติเอมูเอ้ บากาโยโก้ วิ่งมาแปด้วยซ้ายเน้น ๆ แบบไร้ตัวประกบ ทว่าดันส่งบอลพุ่งไปตรงตัวของ สเตฟาน ซาวิช ที่ลื่นล้มอยู่ ติดบล็อกกระเด้งออกมาอย่างน่าเสียดายสุด ๆ

นาที 75

เจ้าถิ่น แอตเลติโก้ มาดริด ได้ตอบโต้ขึ้นมาได้ลุ้นบ้าง จากจังหวะ ยานนิค แฟร์เรร่า การ์ราสโก้ ไหลตามช่องตัดหลังแนวรับให้ อองตวน กรีซมันน์ วิ่งสอดไปเก็บบอลได้ที่สุดเส้นหลังในเขตโทษฝั่งขวา ก่อนที่เจ้าตัวจะดึงจังหวะรอแล้วเปิดย้อนมาที่หัวกระโหลกให้ โรดริโก้ เด ปอล วิ่งสอดมาแปด้วยขวาแบบไม่จับ ส่งบอลพุ่งเบาแถมยังไปตรงตัวของ ซิเปรียน ตาตารูซานู ผู้รักษาประตูทีมเยือน รับเอาไว้ได้สบาย อย่างน่าเสียดายของสุด ๆ

นาที 77

ทีมเยือน เอซี มิลาน ตัดบอลได้แล้วสวนกลับเร็ว จังหวะนี้ บราฮิม ดิอาซ พลิกบอลพลิ้วขึ้นมาป้ายออกขวาให้ อเลสซานโดร ฟลอเรนซี่ ได้เลี้ยงจี้มาถึงหน้าเขตโทษ ก่อนจะขอลองส่องไกลด้วยขวาเน้น ๆ นอกกรอบ ส่งบอลพุ่งแรงเป็นจรวดแถมติดส่าย ลอยเห็นเฉี่ยวคาน หลุดออกหลังไปแบบได้เสียวเหมือนกัน

นาที 80

ทีมเยือน เอซี มิลาน ได้ฟรีคิกทางริมเส้นฝั่งขวา อเลสซานโดร ฟลอเรนซี่ บรรจงเปิดบอลโด่ง โค้งสวยลึกไปที่หน้าเสาไกล แล้วเป็น ติเอมูเอ้ บากาโยโก้ สอดมาเทคตัวขึ้นโขกสะบัดเหน่ง ๆ ไม่กี่หลา ทว่าดันกดไม่ลง ส่งบอลเหินข้ามคาน หลุดออกหลังไปเองอย่างน่าเสียดาย

นาที 87 GOAL!!!

หลังจากบดอยู่นาน ทีมเยือน เอซี มิลาน มาได้ประตูขึ้นนำจนได้เป็น 1-0 !!! จากจังหวะ ฟร้องค์ เกสซีเย่ วิ่งสอดมารับบอลทางริมกรอบเขตโทษฝั่งซ้าย เจ้าตัวครอสบอลโด่งไปที่กลางประตูอย่างแม่นให้ จูเนียร์ เมสซิอัส วิ่งสอดมาเทคตัวขึ้นโหม่งกดลงพื้นเน้น ๆ โล่ง ๆ ส่งบอลเข้าประตูไป ตุงตาข่าย อย่างง่ายดาย

นาที 90+1

ก่อนหมดเวลา เจ้าถิ่น แอตเลติโก้ มาดริด พลาดโอกาสทองที่จะได้ประตูตีเสมอ เป็นจังหวะ มาร์กอส ยอเรนเต้ ได้บอลหลุดขึ้นมาทางริมเขตโทษฝั่งขวา ก่อนจะครอสเลียดเข้าไปที่กลางประตูถวายพานให้ มาเตอัส คุนญ่า ได้แปจ่อ ๆ ส่งบอลหลุดกรอบ กระดอนหลุดออกเอง อย่างไม่น่าเชื่อ

หมดเวลาการแข่งขัน เป็นทีมเยือน เอซี มิลาน บุกมาเฉือนเอาชนะเจ้าถิ่น แอตเลติโก้ มาดริด ไปได้ด้วยสกอร์ 1-0 !!! เขยิบแซงขึ้นมารั้งอันดับที่ 3 ของตารางคะแนน ได้ไปลุ้นต่อในนัดสุดท้ายกับการเปิดบ้านพบกับลิเวอร์พูล ในคืนวันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน 2564 ส่วนทางด้านแอตมาดริด ร่วงมาอยู่ที่ 4 บ๊วยของกลุ่ม ทว่ายังได้ลุ้นเข้ารอบในนัดสุดท้ายเหมือนกัน โดยจะต้องออกไปเยือนปอร์โต้ ในวันเวลาเดียวกันที่จะถึงนี้