ยุคประมาณปี พ.ศ. 2530 กว่าๆ ช่วงนั้นถือเป็นยุครุ่งเรืองเฟื่องฟูของหนังจีนฮ่องกงเลยครับ มีมาให้ชมเยอะมาก และแต่ละเรื่องก็จะมีความสนุกในแบบของตัวเอง ซึ่งโดยส่วนตัวผมขอจำแนกหนังจีนในสมัยนั้นออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ครับ ประเภทแรกคือออกแนวจริงจัง อย่างหนังดราม่าหนักๆ, แอ็กชันแน่นๆ , กำลังภายในเน้นๆ หรือหนังผีสยองแบบดุๆ อันนี้ก็ถือเป็นประเภทแรก
ส่วนอีกประเภทคือออกแนวเบาสมองครับ ซึ่งก็คือการเอาหนังแนวที่ผมเกริ่นไปข้างต้น (ในประเภทจริงจัง) เอามาทำให้เป็นหนังขายขำซะ อย่างแอ็กชันก็ทำเอาฮาได้, ดราม่าก็ทำให้มันออกแนวฮาได้ หรือกระทั่งหนังผีก็ยังเอามาผสมรสให้ออกมาปนฮาได้
และเรื่องนี้คือหนังผีผสมตลกในความทรงจำครับ ตอนเด็กๆ นี่ชอบมาก ดูไปหลายรอบ ชอบถึงขั้นซื้อวีดีโอมาเก็บไว้เลย
พล็อตก็ว่าด้วยบริษัทแห่งหนึ่งที่โดนผีรังควานจนพนักงานพากันลาออกเกือบหมด ในที่สุดคนในบริษัทก็ตัดสินใจตามอาจารย์ปราบผีมาช่วยสอนวิชาให้กับเหล่าพนักงาน จะได้เอาวิชาไปป้องกันตัวจากสารพัดผีที่สิงอยู่ในบริษัท
นั่นคือพล็อตคร่าวๆ น่ะนะครับ แต่ของจริงนั้นยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกพอสมควร ไม่ว่าจะ 2 ตัวเอกนามว่าผีเป่า (เฉินไป่เสียน) กับจื่อจี (Sam Christopher Chow) ที่ตอนแรกเส้นเรื่องของพวกเขาจะยังไม่เกี่ยวกับผีในบริษัท โดยพวกเขามีอาชีพเป็นเซลส์แมนตระเวนขายของตามบ้าน แล้วก็บังเอิญซวยไปเจอแวมไพร์ 2 พี่น้องระหว่างทาง ซึ่งแวมไพร์ 2 ตนนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับผีที่มาอาละวาดในบริษัทครับ แต่พอเดินเรื่องไปเส้นเรื่องก็จะมาเจอกัน แล้วก็กลายเป็นบอสใหญ่ให้เหล่าตัวเอกต้องมาปราบ
ยอมรับว่าตอนเด็กๆ ดูแล้วชอบครับ โอเคตัวหนังมันอาจจะไม่ได้ยอดเยี่ยมอะไร บทถูกผูกขึ้นแบบหลวมๆ แต่อย่างน้อยมันก็มีแก่นเรื่องให้ดำเนินน่ะครับ ไม่ได้เดินเรื่องแบบสะเปะสะปะ นั่นเลยทำให้หนังดูได้เรื่อยๆ และถือว่าน่าติดตามในระดับหนึ่ง ดูแล้วก็อยากรู้ครับว่าพวกพนักงานจะฝึกวิชากันยังไง ฝึกแล้วจะปราบผีได้ไหม และผีที่พวกเขาเจอเนี่ยมันจะร้ายกาจปานใด
ความสนุกของหนังอยู่ที่เหล่าดาราที่มาแสดงกันได้แบบลื่นไหลน่ะครับ นอกจาก 2 ตัวเอกแล้วก็ยังมีชิวซู่เจิน, อู๋จวินหยู, ชาร์ลี เฉา และ จงฟะ (อาจารย์ปราบผี) ซึ่งผมเชื่อว่าคอหนังรุ่นเก่าต้องจำหน้าพวกเขาได้ล่ะครับ เพราะเห็นหน้ากันบ่อยเหลือเกินในสมัยนั้น และพวกเขายังเล่นได้เหมาะอีกด้วย ทั้งตอนฮาและตอนตื่นเต้น
หนังก็ออกแนวรวมมิตรอยู่เหมือนกันครับ คือหลักๆ นั้นมันเป็นแนวสยองผีหลอก แต่ตอนกลางๆ พอพวกพนักงานต้องเข้าค่ายฝึกวิชาปราบผีก็จะมีความทะลึ่งทะเล้นและเรื่องความรักหวานแหววระหว่างตัวละครแทรกลงมา ซึ่งช่วงนี้แหละครับที่มีอะไรฮาๆ ไหลมาเรื่อยๆ เลย
ครั้นพอถึงตอนท้ายก็จะเป็นการเปิดศึกกับผีล่ะครับ ซึ่งช่วงที่ว่าก็ถือว่าทำได้สนุก ตื่นเต้น ชวนลุ้น อันนี้ผมว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของหนังจีนฮ่องกงสมัยก่อนนะครับ เวลาถึงช่วงไคลแม็กซ์นี่มันจะมีอะไรมันส์ๆ รออยู่ อย่างเวลาจะปราบตัวร้ายนี่ต้องลุ้นแล้วลุ้นอีก เพราะมันตายยากมากๆ พวกตัวเอกก็ต้องงัดทุกกลยุทธ์มาใช้ เรียกว่ากว่าจะปราบได้ก็เล่นเอางอมกันไปข้างหนึ่งเลย
กับเรื่องนี้ก็ถือว่ามีไคลแม็กซ์ที่สนุกครับ เพราะปมมันจะขมวดให้เหล่าตัวเอกไปสู้กับผีถึงคฤหาสน์ และไฮไลท์ของหนังก็คือช่วงนี้แหละครับ เพราะมันไม่ใช่แค่เอาดาบไปไล่ฟันหรือเอาน้ำมนต์ไปไล่สาดเพื่อปราบผี แต่มันมีกิมมิคฮาๆ (หรืออาจจะเรียกได้ว่าบ้าๆ) ใส่ลงมา อย่างเช่นพอตัวเอกสู้ผีไม่ไหวก็ทำพิธีเรียกผีเรียกเทพมาเข้าร่างตัวเองเพื่อเพิ่มอิทธิฤทธิ์ และที่มาสิงร่างก็มีอาทิเช่น มาริลีน มอนโร, ชาร์ลี แชปปลิน, บรูซ ลี อะไรประมาณนี้น่ะครับ คือตอนดูสมัยนั้นนี่ยอมรับเลยนะว่าไอเดียเจ๋งดี มันทั้งฮาและคาดไม่ถึงนะครับ (ก็ใครจะไปคิดล่ะว่าจะมีการเรียกบรูซ ลีมาช่วยสู้กับแวมไพร์น่ะ)
ระหว่างเขียนนี่ก็นึกถึงวันวานครับ การดูหนังสไตล์นี้มันเป็นอะไรที่สนุกดี ผมเชื่อว่าหลายคนที่มีโอกาสได้ดูหนังแบบนี้แบบเป็นหนังกลางแปลงก็คงสนุกไปอีกแบบ เพราะแม้หนังมันจะไม่ได้สุดยอดขึ้นหิ้งและเทคนิคพิเศษอาจไม่ได้เลอเลิศอะไร แต่มันตอบโจทย์ความบันเทิงได้แบบพอดีพอดิบ และมีครบรสทั้งฮาทั้งน่ากลัวทั้งตื่นเต้น จนพูดได้ว่าหนังที่ Effect ดี CG ล้ำในสมัยนี้ บางทีก็สู้ความบันเทิงแบบบ้านๆ ในสมัยนั้นไม่ได้
หนังเรื่องนี้ได้หวังจิ้งมาเขียนบทครับ ซึ่งพี่คนนี้ก็ถือเป็นนักสร้างสรรค์ที่ฝีมือดีมากคนหนึ่งแห่งยุคนั้น ไม่ว่าจะงานกำกับหรืองานเขียนบทก็มักจะมีความสนุกผสมอยู่ จะมากหรือน้อยก็อาจต่างกันไป แต่ถ้าดูแบบไม่คิดมากมันก็ตอบโจทย์ความสนุกอยู่ครับ
สองดาวครับ
(6/10)