ใครที่ตามอ่านผมมาจะทราบดีว่าผมนั้นโปรดปรานหนังคริสต์มาสมากเพียงไหน และมักจะบอกอยู่เป็นระยะว่าหนังคริสต์มาสที่เนื้อหาดีๆ ดูแล้วสนุกและอบอุ่นนั้นหาดูได้ยากขึ้นเรื่อยๆ (จริงๆ คือไม่เจอมาหลายปีแล้ว) แต่ตอนนี้ผมเจอแล้วครับ หนังคริสต์มาสครบรสที่มีทั้งความสนุก เนื้อหาชวนให้ย้อนไปถึงสมัยเด็กๆ และที่สำคัญที่สุดคือมาพร้อม “หัวใจแห่งวันคริสต์มาส”
เรื่องว่าด้วย เจค ดอยล์ (Neil Patrick Harris) คุณพ่อที่เล่าเรื่องราวตอนเขายังเด็กให้ลูกสาว (Sophia Reid-Gantzert) ฟัง เขาเล่าถึงคริสต์มาสครั้งหนึ่งเมื่อตอนปลายยุค 80 ที่ยุคนั้นเครื่องเกมนินเทนโด (หรือที่ในบ้านเรารู้จักกันในชื่อ “เครื่องแฟมิลี่”) เป็นสุดยอดของขวัญที่เด็กทุกคนอยากได้ แล้วเรื่องวุ่นๆ สารพัดก็เกิดอันเนื่องมาจากความอยากได้เครื่องเกมที่ว่านี้ล่ะครับ
หนังโดนใจผมครับ อย่างแรกเลยคือหนังพูดถึงเหตุการณ์ที่ทำให้นึกถึงสมัยเด็ก ผมเชื่อว่าคนยุคผมทุกคนต่างก็เคยผ่านความรู้สึกยากได้เครื่องแฟมิลี่กันมานักต่อนักแล้ว สิ่งนี้จูนผมให้ต่อติดกับหนังได้อย่างไม่ยากเย็น แล้วเหตุการณ์ในเรื่องก็ทำให้ย้อนนึกถึงวันเหล่านั้นครับ ตอนที่เครื่องแฟมิลี่คือสุดยอดปรารถนา ตอนที่เรายังไม่มีเครื่องก็จะต้องหาเพื่อนสักคนที่มีเครื่องเกมแล้วก็ไปสุมหัวอยู่ที่บ้านเพื่อนทั้งวัน (และบ้านเพื่อนคนนั้นมักจะรวย) หรือไม่ก็ไปร้านเกม เล่นแบบจ่ายเงินเป็นรายชั่วโมง ซึ่งเราก็จะเล่นได้ตามอัตภาพ มีเงินแค่ไหนก็ถือจอยได้แค่นั้น
ครั้นพอเล่นมากๆ ความอยากมันจะทำงานครับ ยิ่งเวลาเกมใหม่ๆ ที่สร้างมาจากหนังหรือการ์ตูนที่เราชอบถูกผลิตออกมา ความอยากได้เครื่องเกมมันจะเพิ่มพูนเป็นคูณทวี ทีนี้เราก็ต้องหาทางหว่านล้อมพ่อแม่ ซึ่งตอนนั้นเราจะรู้อยู่แก่ใจครับว่าถ้าเดินไปขอซื้อเครื่องเกมแบบดื้อๆ เราก็จะไม่ได้มันมาหรอก มันก็เลยต้องมีเทคนิคกันหน่อย ซึ่งพ่อแม่แต่ละคนก็ต้องใช้เทคนิคต่างกันไป และจุดนี้เองเราจะประมวลข้อมูลของพ่อแม่เราเพื่อวิเคราะห์ค้นหาวิธีอ้อนให้ได้ผลที่สุด (เรื่องนี้เราจะใช้สมองเต็มประสิทธิภาพมากกว่าเรื่องเรียนเยอะครับ)
เมื่อได้ข้อสรุปเราก็จะดำเนินเดินตามแผนครับ เริ่มจากดูฤกษ์ยาม บางคนต้องขอตอนเช้าๆ บางคนก็ต้องขอตอนก่อนนอน บางคนต้องรอตอนแม่อารมณ์ดีมากๆ (จะได้ยอมแบบง่ายๆ) หรือบางคนก็ต้องรอตอนแม่กำลังยุ่งมากๆ (จะได้ยอมแบบงงๆ)
บางคนก็จะร่างสัญญาขึ้นมาหนึ่งฉบับ สัญญาว่าจะสอบได้ที่เลขตัวเดียว หรือต้องได้เกรด 4 กี่วิชาก็ว่าไป หรือบางคนอาจสัญญาว่าถ้าพ่อแม่ซื้อเครื่องนี้ให้แล้ว เราก็จะไม่ขออะไรอีกเลยเป็นเวลาหนึ่งปี (ทั้งที่ความจริงไม่เกินเดือนเราก็จะลืมคำมั่นนั้นแล้วก็ขอซื้อตลับเกมใหม่เป็นสิ่งต่อไป – ที่น่าฮาคือบางทีไม่ใช่แค่เราลืม แต่พ่อแม่เราก็ลืมตามเราไปด้วย 555)
หนังจับเอาอะไรเหล่านั้นมาเล่าผ่านหนังครับ ทำให้ดูไปก็ฮาไป แล้วหนังก็จะเล่าถึงสารพัดวีรกรรมที่เจคตอนเด็ก (Winslow Fegley) รวมถึงผองเพื่อนพยายามทำเพื่อให้ได้เครื่องเกมมาครอบครอง ซึ่งอันนี้ถ้าพูดแบบตรงๆ แล้ว ช่วงต้นๆ มันดูเพลินดีครับ ส่วนตอนกลางๆ เรื่องอาจจะเดินช้านิดนึง แต่ก็ไม่เป็นปัญหาครับ เพราะความสนุกจะไหลมาตอนหลังเมื่อเหล่าเด็กน้อยมาพร้อมแผนเล่นใหญ่ พร้อมทำเต็มที่เพื่อเครื่องเกมอันเลอค่าเครื่องนี้ (ช่วงที่ว่านี้ก็มีอะไรให้เราลุ้นไม่น้อยเหมือนกันครับ สนุกดี)
ครับ หนังดูสนุก จนออกจะสนุกกว่าที่ผมคาดไว้ด้วย ส่วนหนึ่งเพราะหนังคริสต์มาสระยะหลังนี่ถ้าไม่ได้เป็นหนังที่ทำออกมาเพื่อฮาอย่างเดียว (บางเรื่องก็ผ่าไปลามกซะอย่างงั้น) ก็จะเป็นหนังเรื่อยๆ ที่ยังดีได้อีก แต่กับเรื่องนี้นี่สนุกครับ มีฮา มีลุ้น มีส่วนผสมที่พอเหมาะ และที่สำคัญที่สุดก็คือ หนังมีเนื้อที่สำหรับเรื่องราวอบอุ่นหัวใจ มีพื้นที่ให้กับเนื้อหาดีๆ ที่กระตุ้นเตือนให้เราเข้าถึงหัวใจสำคัญแห่งวันคริสต์มาส
สารภาพว่าตอนแรกผมไม่กล้าคาดหวังครับว่ามันจะมีเนื้อหาอบอุ่นๆ เพราะดูมาก็หลายเรื่อง ผ่านมาก็หลายปี และพลาดหวังไปแล้วก็หลายหน จนคิดไปแล้วล่ะว่าเรื่องนี้ก็อาจจะไม่มีเนื้อหาแบบนั้น แต่พอได้เจอเท่านั้นล่ะครับ ผมลุกขื้นยืนดูฉากที่ว่าเหล่านั้นด้วยความดีใจเลยครับ มันเหมือนได้เจอกับเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอมานานยังไงยังงั้น
พูดถึงจุดนี้แล้ว หากจะไม่บรรยายความประทับใจที่ผมมีต่อหนังก็คงกระไรอยู่ แต่ประเด็นคือมันต้องสปอยล์ครับ ดังนั้นใครไม่อยากทราบเนื้อหาโปรดอย่าอ่านต่อ รู้แค่ว่าถ้าคุณชอบหนังคริสต์มาสครบเครื่องที่มีทั้งฮาและทั้งความประทับใจ ผมขอแนะนำจากใจให้ท่านหามาดูเลยครับ
========= สปอยล์ล่ะนะครับ============
ผมชอบฉากปฏิบัติการนินเทนโดของเด็กๆ ครับ อารมณ์มันชวนลุ้นเหมือนหนังโจรกรรมเลย ทำออกมาได้ดีทีเดียวครับ ออกแนว Ocean’s Eleven แบบเด็กๆ
แต่สุดท้ายแล้วปฏิบัติการก็จบลงด้วยความล้มเหลว… ตอนแรกผมก็นึกนะว่าหนังจะไปยังไงต่อ คือคิดอยู่หลายทางน่ะครับ แต่ไม่คิดเลยว่าหนังจะลากเราไปสู่ “โหมดประทับใจ” เมื่อจู่ๆ ก็มีตัวละครหนึ่งมาพูดคุยกับเจค มาเล่าชีวิตวัยเด็กของเขา ก่อนจะลงเอยด้วยการสอนหัวใจของวันคริสต์มาส นั่นคือ การชี้ชวนให้เราตระหนักขอบคุณถึงสิ่งที่เรามี ไม่ว่าสิ่งที่คอยหล่อหลอม คอยประคับประคอง คอยประคบประหงมให้เรายังคงมีชีวิตต่อไป เช่น ครอบครัว เพื่อน หรือสิ่งดีๆ ทั้งหลายรอบตัวเรา ฯลฯ นั่นต่างหากคือสิ่งที่เราควรเห็นค่าในวันคริสต์มาส
แต่คนมากมายกลับเอาเวลาไปทุ่มให้กับสิ่งที่เราขาด จนพลาดที่จะโอบกอดในสิ่งที่เรามี…
ฉากที่ว่านี้นำเสนออย่างง่ายๆ แต่ตรงประเด็น และผมชอบที่หนังเลือกที่จะให้ David Cross มารับหน้าที่นี้ครับ ผมว่ามันเป็นอะไรที่หักมุมพอประมาณนะ เพราะปกติพี่ David แกจะชอบเล่นบทกวนๆ ไร้หัวใจ หรือไม่ก็เห็นแก่ตัว แต่พอได้เห็นพี่แกมาเล่นบทนี้แล้ว ก็รู้สึกขึ้นมาเลยครับว่าพี่เขาเล่นได้ดี เล่นได้พอเหมาะ เขาดูจริงใจจริงๆ ในยามที่เอ่ยปากเล่าเรื่องแต่ละคำ และจริงใจไปจนถึงตอนที่เขาส่งเจคขึ้นรถแท็กซี่เลย
ตอนแรกผมก็นึกว่ามันจะมีเรื่องประทับใจแค่นี้นะ แต่ที่ไหนได้ยังมีมากกว่านี้ครับ กลายเป็นว่าโซนตอนท้ายของหนังนี่กลายเป็นแกลอรี่แห่งเรื่องประทับใจไปเลย ไม่ว่าจะบทสรุปที่ว่าสุดท้ายแล้วเจคได้เครื่องนินเทนโดมาจากไหน ซึ่งฟังดูง่ายๆ แต่เชื่อว่าคนที่เคยมีประสบการณ์แบบเดียวกับเจคคงรู้ครับว่าการซื้อของด้วยน้ำพักน้ำแรงของเรานั้น มันน่าจดจำเพียงไร ไหนจะปราการบ้านต้นไม้หลังใหญ่นั่น หรือเรื่องเกี่ยวกับพ่อของเจค… ช่วงท้ายของหนังนั้นสามารถเสิร์ฟความประทับใจให้เราได้แบบต่อเนื่องและเต็มอิ่มจริงๆ
ผมชอบที่หนังใช้ภาพถ่ายเจคตอนเด็กกับเพื่อนๆ กำลังเล่นอยู่ที่บ้านต้นไม้ ครับ มันสื่อเลยว่าบ้านต้นไม้นี้ยังมีเรื่องราวอีกมากที่ซ่อนอยู่หลังภาพถ่ายนั้น แต่หนังเลือกที่จะไม่เล่าแล้วปล่อยให้เราไปจินตนาการต่อเองจากภาพถ่าย… เป็นอะไรที่มีความหมายครับ
ผมชอบประเด็น “การส่งต่อสายใยและประสบการณ์ดีๆ จากรุ่นสู่รุ่น” แบบที่พ่อของเจคมอบให้เจคผ่านบ้านต้นไม้ หรือแบบที่เจคส่งต่อให้ลูกสาวผ่านเรื่องเล่า มันเป็นการสื่ออย่างง่ายๆ แต่ได้ใจครับ ว่าชีวิตของเรานั้นมีอะไรมากกว่าเพียง “เรื่องทางวัตถุ” ซึ่งจริงๆ ก็ปฏิเสธไม่ได้ครับว่าวัตถุหลายชิ้นทำให้เราสะดวก และช่วยเติมเต็มรสชาติให้กับชีวิต แต่มันไม่ใช่ทั้งหมดครับ มันยังมีเรื่องของสายสัมพันธ์ มิตรไมตรี เรื่องประสบการณ์ การเดินทาง อีกทั้งความผิดหวัง พลาดหวัง อะไรเหล่านี้ก็ล้วนมีคุณค่าและให้อะไรกับเราได้หากเราเปิดใจเรียนรู้จากมัน
และผมว่าบ้านต้นไม้ที่พ่อของเจคสร้างให้นั้น มันมีความหมายนะครับ จริงที่สำหรับเจคแล้วสุดยอดของขวัญคือเครื่องนินเทนโด แต่สำหรับคนรุ่นพ่อของเจคแล้ว บ้านต้นไม้นี่แหละที่สูงค่าอย่างยิ่งสำหรับคนรุ่นเขา และการที่พ่อของเจคตั้งใจทำบ้านต้นไม้ให้ก็คือความตั้งใจที่เขาจะมอบสิ่งที่มีค่าที่สุด นี่คือของขวัญจากใจพ่อที่ส่งต่อให้กับลูก และของขวัญชิ้นนี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้พ่อลูกคู่นี้ได้ทำอะไรร่วมกันต่อเนื่องอีกหลายๆ อย่าง (สังเกตได้จากสัญลักษณ์ JJ ที่ถูกจารึกลงในงานไม้อีกหลายๆ ชิ้น ที่เจคและพ่อได้ทำร่วมกัน – นี่ก็เป็นอีกหนึ่งจุดประทับใจที่หนังถ่ายทอดออกมาได้ดีครับ)
หนังทำให้เราตระหนักครับว่า ของขวัญชั้นเยี่ยมที่พ่อแม่จะมอบให้ลูก หรือลูกจะมอบให้พ่อแม่นั้น อาจไม่ใช่สินค้ายอดฮิตหรือวัตถุมีค่าราคาแพง แต่มันคือความรักความเอาใจใส่ คือการใช้เวลาร่วมกันทำสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะทำกิจกรรมร่วมกัน หรือพูดคุยแบ่งปันเรื่องราวในแต่ละวัน สิ่งเหล่านี้คือสุดยอดของมีค่าที่เรามอบให้แก่กันได้ทุกวันโดยไม่ต้องรอเทศกาล
ในฐานะคพ่อคน ผมก็เข้าใจนะครับว่าพ่อแม่มีสิ่งที่ต้องทำมากมาย หลายครั้งที่งานล้นมือจนแทบไม่มีเวลากระทั่งกินน้ำสักแก้ว แต่ผมก็เชื่อครับว่า ถ้าสิ่งใดมีค่าต่อเราจริงๆ เราจะสามารถแบ่งเวลาให้สิ่งนั้นได้ อย่างผมนี่แม้งานจะทับหลังตายก็ตาม แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ต้องหันไปหาลูก คุยกับเขาเป็นระยะเท่าที่จะทำได้… และหลายครั้งทีเดียวที่การคุยกับลูกช่วยผ่อนคลายทำให้ความเหนื่อยจากงานหนักๆ บรรเทาลงไปอย่างไม่น่าเชื่อ… ของแบบนี้ใครเคยประสบพบเจอก็จะย่อมเข้าใจกัน จริงไหมครับ
และฉากจบของหนัง… เรียบง่ายนะครับ แต่สวยงาม และชวนให้เราประทับใจได้จริงๆ อีกทั้งดนตรีประกอบของ Joseph Trapanese สามารถโอบรับอารมณ์ประทับใจนั้นได้อย่างดีเยี่ยม ผมไม่ปฏฺิเสธครับว่าท่วงทำนองอาจทำให้นึกถึง Home Alone อยู่บ้าง แต่มันก็ต้องท่วงทำนองแบบนี้แหละครับที่จะเหมาะกับการปิดฉากเรื่องราวนี้ ในวันคริสต์มาสแบบนี้
หนังเรื่องนี้ทำออกมาได้ดีจริงๆ ครับ… ตามความคิดเห็นของผมน่ะนะครับ
=============== หมดสปอยล์แล้วครับ ================
เฮ่อ… ผมไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานแล้วครับ ดูหนังคริสต์มาสแล้วรู้สึกสนุก เต็มอิ่ม ประทับใจ และรู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง
หนังเรื่องนี้เข้าลิสต์หนังดีวันคริสต์มาสอีกเรื่องสำหรับผมแล้วครับ ต้องมีการเอามาดูซ้ำแน่นอน
องค์ประกอบในหนังผมว่าลงตัวหมดครับ ดาราแสดงกันได้ดี การเล่าเรื่องก็ดี มันอาจไม่ถึงกับสุดยอดมากมายน่ะนะครับ แต่มันมีสิ่งที่หนังคริสต์มาสดีๆ ควรมีแบบครบถ้วน ก็ต้องขอชมผู้กำกับ Michael Dowse ครับ ที่ทำหนังเรื่องนี้ออกมาได้ลงตัว และต้องขอชม Kevin Jakubowski ด้วย เพราะหนังเรื่องนี้สร้างจากหนังสือของเขา และเขายังเป็นคนดัดแปลงจากหนังสือมาเป็นบทภาพยนตร์ด้วยตนเองอีกด้วย
ผมอยากให้ท่านลองดูครับ ถือเป็นหนังคริสต์มาสดีๆ อีกเรื่องที่มีความพอเหมาะ และมีแง่คิดดีๆ มอบให้เรานำไปใคร่ครวญทบทวนการใช้ชีวิตของเรา ทำให้เราย้อนคิดถึงวัยเด็ก ทำให้เราย้อนมองแต่ละก้าวที่ผ่านมา ว่าเรามาจากไหนและกำลังจะไปไหน และทำให้เราคิดถึงครอบครัว คิดถึงคนรอบตัวที่วนเวียนอยู่รอบเรา ที่มีส่วนทำให้เราเป็นเราในตอนนี้…
ผมชอบแบบนี้จังครับ เจอหนังดีที่เข้าทางแบบไม่คาดฝันเนี่ย
สองดาวครึ่งบวกๆ ครับ
(7.5/10)