เกมการแข่งขัน ระหว่างทีมจิ้งจอกสีน้ำเงิน เลสเตอร์ ซิตี้ กับ ทีมสิงโตน้ำเงินคราม เชลซี ในศึกฟุตบอล เอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศ โดยเตะกันที่สนาม เวมบลีย์ (สนามกลาง)
เกมนี้ ทีม เลสเตอร์ ซิตี้ ภายใต้การคุมทีมของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส มาเล่นในระบบ 3-4-1-2 นำทีมโดย วิลเฟร็ด เอ็นดิดี้ กองกลางจอมขยัน ยูริ ตีเลอมันส์ มิดฟิลด์ตัวสร้างสรรค์เกมทีมชาติเบลเยี่ยม และ เจมี่ วาร์ดี้ ศูนย์หน้าตัวความหวังของทีม ขณะที่ทางฝั่งทีม เชลซี ภายใต้การคุมทีมของ โธมัส ทูเคิ่ล มาเล่นในระบบ 3-4-2-1 นำทีมโดย เอ็นโกโล่ ก็องเต้ มิดฟิลด์พลังไดนาโม เมสัน เมาน์ท กองกลางตัวจี๊ดทีมชาติอังกฤษ และ ติโม แวร์เนอร์ ศูนย์หน้าค่าตัวแพงชาวเยอรมัน
นาที 10
เปิดเกมมาในช่วงแรก เชลซี ครองบอลได้เหนือกว่าเล็กน้อย แต่ก็ยังหาจังหวะเจาะเข้าไปในพื้นที่สุดท้ายเพื่อทำประตูยังไม่ได้ ส่วนทางด้าน เลสเตอร์ ซิตี้ ก็เน้นมาตั้งรับอย่างเหนียวแน่น แล้วรอใช้จังหวะสวนกลับลูกถนัดเหมือนเคยเวลาเจอกับทีมใหญ่
นาที 14
โอกาสแรกของเกมเป็นของทางฝั่ง เชลซี จังหวะนี้ ต่อบอลหาช่องอยู่หน้าเขตโทษของเลสเตอร์ ซิตี้ อยู่พักใหญ่ แต่ยังเจาะไม่เข้า แล้วเป็น อันโตนิโอ รือดิเกอร์ เติมสูงขึ้นมาขอลองส่องไกลด้วยขวานอกกรอบเขตโทษ ระยะกว่า 30 หลา บอลพุ่งเลียด หลุดกรอบออกไปไกล
นาที 17
จิ้งจอกสยาม เลสเตอร์ ซิตี้ ได้สวนกลับเร็วขึ้นมาได้จบ เป็นจังหวะ ตีโมธี กาสตาญ เติมเกมสูงหลุดขึ้นมาทางกราบขวา ก่อนจะครอสโด่งเข้าไปที่กลางประตูให้ เจมี่ วาร์ดี้ ที่ตั้งป้อมรออยู่ได้หวดด้วยขวาไม่จับ แต่บอลก็ยังไปติดบล็อกของ รีซ เจมส์ ที่พุ่งตัวมาขวางไว้ได้ทันหวุดหวิด
นาที 20
เลสเตอร์ ซิตี้ ได้ฟรีคิกทางขวาของกรอบเขตโทษ ยูริ ตีเลอมันส์ เปิดบอลโค้งเข้าไปที่กลางประตู แล้วเป็น คักลาร์ โซยุนชู ได้กระโดดเบียดตัวประกบขึ้นไปโขกเต็ม ๆ แต่กดไม่ลง บอลเหินข้ามคานออกไปนิดเดียว
นาที 23
เกมเริ่มเปิดแลกกันมากขึ้น จังหวะนี้ ติอาโก้ ซิลวา กองหลังตัวเก๋าของเชลซี วางบอลยาวจากแดนหลัง ทิ้งขึ้นหน้าไปที่บริเวณด้านขวาของกรอบเขตโทษให้ เมสัน เมาน์ท ได้เอาบอลลง แล้วกระชากตัดเข้ากลางมาถึงบริเวณหัวกระโหลก ก่อนจะซัดเลียดด้วยซ้ายหักข้อนอกกรอบเขตโทษ ไปแฉลบบล็อกกองหลังนิดนึง บอลพุ่งเฉี่ยวเสาแรกขวามือออกไปนิดเดียว ได้เป็นเตะมุม
นาที 29
เชลซี เกือบจะได้ประตูขึ้นนำ เป็นจังหวะ เมสัน เมาน์ท ครอสบอลจากทางกราบขวา โค้งลึกเลยไปที่เสาไกล แล้วเป็น ติอาโก้ ซิลวา ที่เก็บได้จังหวะสุดท้ายที่กรอบเขตโทษอีกฝั่ง ก่อนจะตักบอลกลับเข้าไปในเขตโทษให้ ติโม แวร์เนอร์ ได้โฉบมาโหม่งเช็ด แต่โดนบางเหลือเกิน บอลพุ่งเลยไปที่เสาสอง เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า พยายามพุ่งโหม่งจ่อ ๆ ก็ช้าไปนิดเดียว บอลเฉียดเสาขวามือ ออกหลังไปอย่างน่าเสียดาย
นาที 33
จิ้งจอกสยาม ต้องมาเสียผู้เล่นคนสำคัญในแนวรับอย่าง จอนนี่ อีแวนส์ เพราะอาการบาดเจ็บ เล่นต่อไม่ไหว โดนถอดออกไป แล้วส่ง มาร์ค อัลไบรท์ตัน ปีกตัวจี๊ด ลงมาแทน ทำให้ทีมเหลือเซ็นเตอร์แบ็คอาชีพ อยู่ในสนามเพียงแค่สองคน
นาที 42
เลสเตอร์ ซิตี้ ได้ฟรีคิกทางริมเส้นฝั่งซ้าย ติโมธี กาสตาญ หยอดบอลไปในเขตโทษที่เสาแรก แล้วเป็น คักลาร์ โซยุนชู ที่สลัดหนีตัวประกบอย่าง ติอาโก้ ซิลวา วิ่งมาโขกสะบัดเน้น ๆ แต่บอลก็ถากเสาหลุดออกหลังไปแบบได้หวาดเสียวเหมือนกัน
นาที 44
สิงห์บลู เชลซี สวนกลับขึ้นมาตรงกลางสนาม ติโม แวร์เนอร์ กระชากพาบอลขึ้นมาเองด้วยความเร็วจนมาถึงบริเวณหัวกระโหลก ก่อนจะตะบันด้วยขวาเต็มข้อยัดไปตรงกลางประตู แต่บอลก็ยังติดบล็อกกองหลังเลสเตอร์ ซิตี้ กระดอนหลุดออกหลังไป ได้เป็นลูกเตะมุมแทน
หมดเวลาครึ่งแรก ทั้งสองทีมเปิดเกมแลกกันได้อย่างสนุกสูสี ไม่มีใครยอมใคร เชลซี รูปเกมและการครองบอลเหนือกว่าเล็กน้อย ส่วนทางด้าน เลสเตอร์ ซิตี้ ก็ยังตั้งรับได้เหนียวแน่น แล้วสวนกลับได้น่ากลัวเช่นเคย สกอร์ยังเสมอกันอยู่ที่ 0-0 !!!
นาที 53
เชลซี น่าจะได้ประตูขึ้นนำแบบสุด ๆ เป็นจังหวะ จอร์จินโญ่ แทงบอลจากกลางสนามไปให้ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ได้หลุดไปบริเวณกรอบเขตโทษด้านขวา ก่อนจะครอสโด่งลึกไปทางเสาไกลให้ มาร์กอส อลอนโซ่ โฉบขึ้นไปได้โขกเต็ม ๆ แต่บอลดันไปตรงตัวของ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ผู้รักษาประตูเลสเตอร์ ซิตี้ รับเข้ามือไว้ได้ทัน
นาที 63 GOAL!!!
จิ้งจอกสีน้ำเงิน เลสเตอร์ ซิตี้ มาได้ประตูขึ้นนำไปก่อน 1-0 !!! เป็นจังหวะเริ่มที่ความผิดพลาดของ รีซ เจมส์ ที่ออกบอลไม่ดีโดน อาโยเซ่ เปเรซ ดักได้บอลไหลมาเข้าทาง ลุค โธมัส ทางฝั่งซ้าย ก่อนที่เจ้าตัวจะไหลบอลมาที่หน้าหัวกระโหลกให้ ยูริ ตีเลอมันส์ ได้แต่งบอลวางเท้าสับไกลด้วยขวานอกกรอบเขตโทษเต็มข้อ บอลพุ่งเป็นจรวดหนีมือ เกปา อาร์รีซาบาลาก้า ผู้รักษาประตูเชลซี ไปเสียบสามเหลี่ยมซ้ายมือ เข้าประตูไปอย่างสวยงาม ตาข่ายแทบขาด
นาที 68
เริ่มเข้าสู่ช่วงท้ายเกม ทั้งสองทีมมีการปรับเปลี่ยนเกม เลสเตอร์ ซิตี้ หลังจากขึ้นนำแล้วก็ถอด เคเลชี่ อิเฮียนาโช่ กองหน้าตัวจบสกอร์ ออกจากสนามไป แล้วส่ง เจมส์ แมดดิสัน ลงมาแพ็คเกมกลางสนามช่วยทีม ขณะที่ทางฝั่ง เชลซี ก็ส่ง เบน ชิลเวลล์ กับ คริสเตียน พูลิซิช ลงมาเติมความสดในเกมรุก แทนที่ มาร์กอส อลอนโซ่ และ ฮาคิม ซิเย็ค ที่วันนี้เล่นไม่ค่อยดีเท่าไหร่
นาที 73
เกมทั้งสองทีมดูจะช็อตไปดื้อ ๆ จังหวะนี้เกมได้หยุดลงพักใหญ่เพราะ ลุค โธมัส ผู้เล่นเลสเตอร์ ซิตี้ เจ็บนอนอยู่ที่พื้น แพทย์สนามต้องวิ่งมาดูอาการ ทางฝั่ง เชลซี เลยถือโอกาส ส่ง ไค ฮาแวร์ตซ์ และ คัลลั่ม ฮัดสัน โอดอย สองตัวรุกลงสนามมาแทน จอร์จินโญ่ และ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า กะว่าจะเปิดเกมบุกเต็มพิกัด
นาที 78
เชลซี เกือบได้ประตูตีเสมอ เป็นจังหวะต่อบอลกันอยู่ทางขวาของกรอบเขตโทษ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ได้บอลกระชากขึ้นมา ก่อนจะครอสบอลโด่งจากกราบขวาลอยลึกไปที่เสาไกล แล้วเป็น เบน ชิลเวลล์ โฉบมาโขกเหน่ง ๆ บอลพุ่งแรงกระเด้งพื้นกำลังจะเบียดเสาใกล้ซ้ายมือเข้าประตูอยู่แล้ว แต่ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ผู้รักษาประตูเลสเตอร์ ซิตี้ โชว์ซุปเปอร์เซฟ ผวาพุ่งไปปัดปลายมือ ออกหลังไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ
นาที 82
เชลซี ขึงเกมรุกอยู่หน้าเขตโทษของเลสเตอร์ ซิตี้ แต่ยังเจาะไม่เข้า น่าอึดอัดสุด ๆ จังหวะนี้ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ เติมเกมดันสูงขึ้นมา ขอลองส่องไกลด้วยขวานอกกรอบเขตโทษดูบ้าง แต่บอลก็ยังพุ่งแรง เหินข้ามคานออกไปอยู่ดี
นาที 87
เชลซี บุกอย่างหนัก แล้วเกือบที่จะได้ประตูตีเสมอ เป็นจังหวะที่ รีซ เจมส์ เติมสูงขึ้นมารับบอลทางกราบขวา ก่อนจะตั้งป้อมบรรจงครอสเข้าไปที่กลางประตู ยูริ ตีเลอมันส์ โหม่งสกัดได้ไม่ดี บอลไม่ไปไหนยังอยู่กลางเขตโทษ ลอยมาตกที่ เมสัน เมาน์ท ได้ซัดด้วยซ้ายเต็มข้อ บอลพุ่งเป็นจรวด กำลังจะไปเสียบเสาไกลขวามืออยู่แล้ว แต่เป็น แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ผู้รักษาประตูเลสเตอร์ ซิตี้ ที่โชว์ซุปเปอร์เซฟ บินไปปัดปลายมือเอาไว้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
นาที 89 VAR!!!
จังหวะดราม่าของเกมนี้เกิดขึ้นในช่วงก่อนจะหมดเวลา เมื่อ เชลซี ยิงเข้าประตูไปแล้วแต่ไม่ได้ เป็นจังหวะบอมบ์โด่งเข้าไปวัดดวงในเขตโทษ แล้วเป็น เบน ชิลเวลล์ ได้ยิงผ่าน แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ผู้รักษาประตูเลสเตอร์ ซิตี้ ไปแล้ว แต่โดน คักลาร์ โซยุนชู เตะสกัดออกมาไม่ดี บอลพุ่งไปโดน เวส มอร์แกน ตัวสำรองทีมเดียวกัน กระเด้งเข้าประตูตัวเองไปแบบงง ๆ ก่อนที่ VAR จะฟ้องว่า เบน ชิลเวลล์ ล้ำหน้าไปแล้วตั้งแต่แรก ซึ่งภาพช้าจะเห็นว่า ล้ำหน้าแค่ไม่กี่เซนติเมตร ดีใจเก้อสำหรับเชลซี
หมดเวลาการแข่งขัน เป็นทีมจิ้งจอกสยาม เลสเตอร์ ซิตี้ ที่เฉือนเอาชนะทีม เชลซี ไปได้ 1-0 !!! คว้าแชมป์บอลถ้วย เอฟเอ คัพ อังกฤษ สมัยแรกเป็นประวัติศาสตร์ของสโมสรไปครองได้สำเร็จ