The Father
มาต่อกันด้วยอีกหนึ่งหนังที่มีบทบาทบนเวทีรางวัลออสการ์ 2021 อีกเรื่อง กับการได้เข้าชิงรางวัลมากถึง 6 สาขาในปีนี้ นั่นก็คือ “The Father” หนังดราม่าเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยอนุภาพพลังทางการแสดงของนักแสดงนำชั้นครูที่แค่เห็นรายชื่อก็ถือว่าคุ้มค่าตั๋วหนังแล้ว นี่คือหนังที่ได้คะแนนเฉลี่ยบนเว็บไซต์ Rotten Tomatoes สูงถึง 98% เลยทีเดียว ทำไมถึงได้สูงขนาดนั้น…ตามมาอ่านสิ
The Father เป็นเรื่องราวของพ่อกับลูกสาวคู่หนึ่งที่อาศัยอยู่ในแฟลตแห่งหนึ่งด้วยกันในกรุงลอนดอน เพราะความชราของเขาจึงจำเป็นต้องมีลูกสาวคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง แต่เพราะปัญหาความเลอะเลือนของเขาเอง ทำให้ลูกต้องหาแนวทางมาช่วยดูแลรักษาพ่ออย่างใกล้ชิด โดยที่เขาเองก็ยังคงติดอยู่กับการใช้ชีวิตที่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า วันนี้ตื่นนอนขึ้นมาแล้ว…อันไหนเป็นเรื่องจริง และอันไหนเป็นเรื่องที่จินตนาการ
ต้องยอมรับเลยว่าหนังเรื่องนี้มาพร้อมกับบทหนังและชั้นเชิงในการนำเสนอที่มีมิติเยอะที่สุดเท่าที่เคยดูมา เหมือนหนังได้จับมือพาคนดูเดินตามไปสำรวจจุดต่างๆ ของผู้ป่วยที่ตกอยู่ในภาวะอัลไซเมอร์ พาคนดูไปยืนอยู่จุดที่ทำให้เกิดความสับสนในสถานการณ์ต่างๆ ต้องคิดแยกแยะแบบไม่ทราบว่าอันไหนถูกอันไหนผิดไปตลอดทั้งเรื่อง นี่จึงกลายเป็นอีกเสน่ห์ชั้นยอดของหนังเรื่องนี้เลย
หากพูดกันตามตรงแบบภาษาชาวบ้าน The Father ก็จัดว่าเป็นหนังที่ไม่ได้เหมาะกับคนดูทุกกลุ่ม มีความเป็นหนังเฉพาะด้านเฉพาะแนวอยู่ แต่บนพื้นฐานแล้วนี่ก็คือหนังดราม่าครอบครัวที่ไม่ว่าเช่นไรทุกชีวิตบนโลกก็จะต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคและสถานการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน กับภาระหน้าที่ในการเลี้ยงดูพ่อแม่ในยามแก่ชรา ท่านก็ไม่ต่างกับเด็กหัวรั้นที่เหมือนเป็นสลับหน้าที่กันในต่างช่วงเวลา
จุดเด่นของ The Father ที่ทำให้ไม่เหมือนหนังเรื่องไหนๆ ก็คือ การนำเสนอในมุมมองของผู้ป่วยอัลไซเมอร์อย่างตรงไปตรงมา สถานการณ์ต่างๆ ได้ถูกเล่าผ่านมุมมองของ แอนโทนี คุณพ่อวัยชราที่มีปัญหาเลอะเลือน แม้ว่าตัวเขาก็พอจะรู้ตัวเองว่ากำลังป่วย แต่ภาวะสถานการณ์ต่างๆ ก็พยายามผลักดันให้เขาแสดงออกมาว่าไม่ได้ป่วย
มุมมองที่เขาเห็นเป็นความแปลกใหม่ในการเสนอในรูปแบบของหนัง เราคงจะไม่ค่อยได้เห็นหนังที่เดินเรื่องด้วยคนที่มีภาวะเลอะเลื่อนเช่นนี้ คนดูจึงได้ดำดิ่งเข้าไปสู่ภาวะนั้นด้วย ทั้งประหลาด ทั้งสงสัย ทั้งแคลงใจ ทั้งแยกแยะไม่ถูก จึงกลายเป็นกิมมิกที่มีชั้นเชิงอันโดดเด่นของหนังที่ยังไม่มีหนังเรื่องอื่นมาเทียบเคียงเรื่องนี้ได้เลย
แน่นอนว่า หากนั่งดู The Father ไปเรื่อยๆ หลายคนคงจะบอกว่าเป็นหนังอะไร ดูแล้วงง สับสนเป็นบ้า แต่ถ้าได้ลองพิเคราะห์ไปตามตัวละครและสถานการณ์ต่างๆ เราก็น่าจะพอที่คลำทางและจับต้นชนปลายในประเด็นที่ผู้สร้างอยากจะนำเสนอในหนังเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย ทำให้หนังเรื่องแรกของผู้กำก้บหญิง “ฟลอเรียน เซลเลอร์” ออกมาค่อนข้างน่าพึงพอใจ
และเมื่อมาได้การแสดงชั้นครูของ 2 นักแสดงหลักผนวกเข้าไปด้วยแล้ว เป็นส่วนที่มาช่วยเติมเต็มคุณค่าและยกระดับหนังขึ้นไปอีกระดับ “โอลิเวีย โคลแมน” ตอบโจทย์ในบทบาทของเธอได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งสีหน้า ท่าทาง ถูกถ่ายทอดตามภาวะอารมณ์ได้อย่างเป็นมืออาชีพ ทุกอย่างดูลื่นไหลและเป็นกำไรของคนดูที่ได้เห็นการแสดงที่น่าทึ่งเช่นนี้
ส่วนที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ก็คือการแสดงอันทรงคุณค่าของ “แอนโทนี อ๊อพกินส์” ที่ถือว่ารับหน้าที่แบกหนังทั้งเรื่องเอาไว้อย่างสบายๆ นี่คือฝีมือการแสดงระดับปรมาจารย์ของวงการ ที่นับว่าเป็นบุญตาอีกครั้งที่ได้เห็นเขาได้ถ่ายทอดการแสดงอันยอดเยี่ยมเช่นนี้ โดยเฉพาะช่วงท้ายๆ กับซีนอารมณ์ดำดิ่งที่แทบอยากจะลุกขึ้นยืนปรบมือให้กลางโรงหนังเลยทีเดียว
โดยภาพรวมแล้ว The Father เป็นหนังที่มีดีอยู่หลายๆ จุด แต่โดดเด่นที่สุดก็คงเป็นทางด้านการแสดง การผนึกกำลังของนักแสดงรางวัลออสการ์ทั้ง 2 คนนี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องธรรมดาๆ เลย ทั้งคู่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างเป็นมืออาชีพ เมื่อมาเข้ากับท้องเรื่องที่มีชั้นเชิงและมิติทับซ้อนกัน จนออกมาเป็นภาพมิติหลากมุมมอง ยิ่งทำให้หนังเรื่องนี้เผยมุมที่สวยงามออกมา แม้จะไม่ใช่หนังที่ดูได้ง่ายๆ แต่สุดท้ายก็ปิดผนึกเอาไว้ได้ด้วยความตราตรึงใจ…
ข้อมูลเกี่ยวกับหนัง The Father
ประเภท: ดราม่า / ครอบครัว
ผู้กำกับ: ฟลอเรียน เซลเลอร์
นำแสดงโดย: แอนโทนี อ๊อพกินส์, โอลิเวีย โคลแมน
ความยาว: 97 นาที
เข้าฉาย: 12 เมษายน 2021 (ที่โรงภาพยนตร์ เฮ้าส์ สามย่าน)
Movie.TrueID METRIC: Minari
ภาพรวม
⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰ (9/10)
การเล่าเรื่อง
⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰ (8/10)
การแสดง
⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐ (10/10)
บทภาพยนตร์
⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰ (9/10)
————————————-