Riverdale Season 1 (2017) ริเวอร์เดล ปี 1

Riverdale__Season_1_(2017)_R1_CUSTOM-[front]

ซีรี่ส์ล่าสุดที่ทำเอาผมกับภรรยาติดหนึบ ดูทีเดียว 13 ตอนรวดครับ ส่วนหนึ่งคงเพราะแนวทางมันใช่ มันครบรสทั้งลึกลับซับซ้อน หักมุม ดราม่า อารมณ์ขันร้ายๆ และเต็มไปด้วยสีสัน (ทั้งในงานภาพและเนื้อหา)

ได้ข่าวว่าซีรี่ส์นี้ได้รับไฟเขียวทันทีที่ผู้สร้างรู้ว่าซีรี่ส์ Pretty Little Liars จบลง ประมาณว่าทำออกมารับช่วงต่อน่ะครับ เพราะแนวทางจะคล้ายกัน ว่าด้วยตัวเอกที่เป็นวัยรุ่นในเมืองเล็กๆ ที่ชื่อ “ริเวอร์เดล” ที่มาร่วมกันตามปมปริศนาคดีฆาตกรรมวัยรุ่นคนหนึ่ง ซึ่งคดีที่ว่าก็เต็มไปด้วยปมปริศนาที่ยิ่งสืบก็ยิ่งซับซ้อน

ตัวละครหลักก็มี อาร์ชี่ แอนดรูว์ส (K.J. Apa) หนุ่มผมแดงนิสัยดีและมองโลกในแง่ดี, เบ็ตตี้ คูเปอร์ (Lili Reinhart) สาวน้อยข้างบ้านของอาร์ชี่ที่แอบชอบเขามานาน, เวโรนิก้า ลอดจ์ (Camila Mendes) คุณหนูไฮโซหน้าใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้าเมืองมา, จั๊กเฮด (Cole Sprouse) เด็กแนวนอกกระแส+ช่างสังเกต และเควิน เคลเลอร์ (Casey Cott) เพื่อนซี้ของเบ็ตตี้

ว่าตามจริงสไตล์เรื่องมันอาจจะไม่ได้ใหม่อะไรครับ อันที่จริงมันเดินตามรอยซีรี่ส์วัยรุ่นแบบ Pretty Little Liars, Gossip Girl มาเจอกับซีรี่ส์ลึกลับแบบ Twin Peaks อะไรประมาณนั้น แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็ถือว่ากลมกล่อมไม่เลวครับ จุดเด่นอย่างแรกคงต้องยกให้ตัวละครที่จัดว่าชัดมาก ทุกคนมีคาแรคเตอร์เด่นๆ ของตัวเองและง่ายต่อการจดจำ

ในแง่การแสดงก็จัดว่าเวิร์กเลยครับ ถือว่าทีมงานแคสมาดี ทุกคนเหมาะกับบทมากๆ ผมชอบทุกคนพอๆ กันเลยล่ะครับ ถ้าถามว่าชอบใครสุด ผมว่าผมชอบ Mendes ในบทเวโรนิก้านะ ท่าทาง สีหน้า วิธีการพูดจามันใช่น่ะครับ ดูเป็นคนหนูติดเริ่ดแต่ก็ติดดินในเวลาเดียวกัน มีทั้งความน่ารัก ความเซี้ยว และซ่อนจิตใจที่อ่อนโยนเอาไว้ใต้ความแสบ

อีกคนที่ชอบคือจั๊กเฮดครับ หมอนี่เจ๋งอ้ะ ระหว่างดูนี่ผมคิดเลยนะว่าถ้าให้เขาไปเล่นเป็น “แอล” ใน Death Note ฉบับ Netflix มันน่าจะเวิร์กนะ ท่าทางแกไปทางนั้นได้เลย มีฉากหนึ่งเขานั่งบนเบาะแบบยองๆ เหมือนแอลน่ะครับ ฉากนั้นรู้สึกว่าใช่เลย

ส่วน Apa, Reinhart และ Cott พวกเขาเล่นได้ดีทุกคน และมีโมเมนต์ของตัวเองทั้งสิ้น Apa ก็ดูเป็นคนดีสมเป็น อาร์ชี่ พระเอกตัวนำของเรื่อง แต่กระนั้นเขาก็ไม่ใช่คนดีอินโนเซนส์แบบเต็มร้อยจนเกินไป, Reinhart ก็น่ารักในแบบของสาวผมบลอนด์ แต่ขณะเดียวกันก็มีมุมมืดบ้างตามประสาปุถุชน

ซึ่งอะไรพวกนี้ผมว่าเข้าท่าดีนะครับ ดีที่ตัวละครทุกคนไม่ใช่คนหล่อสวยแสนดีจนเว่อร์ ทุกคนก็เป็นแค่คนน่ะครับ มีดีมีไม่ดีผสมปนเปกัน อันนำมาสู่ความน่าสนใจในเชิงดราม่าที่น่าพอใจ (เพราะถ้าตัวละครเป็นคนมิติเดียว ความน่าสนใจก็คงลดลงไปเยอะทีเดียว) และปมต่างๆ ในชีวิตของพวกเขายังให้แง่คิดดีๆ กับคนดูเป็นระยะอีกด้วย

Cott ก็เล่นเป็นเควินได้ดีครับ เขาเป็นเพศทางเลือกที่น่ารักมากๆ ท่าทางการวางตัวและการแสดงออกเป็นอะไรที่พอเหมาะจริงๆ และอีกคนที่ผมชอบมากขึ้นๆ ขณะดูคือ Madelaine Petsch ในบทเชอรีล บลอสซั่ม เจ๊แกเริ่ดเชิ่ดหยิ่งได้ใจสุดๆ และดูเป็นคาแรคเตอร์ที่มีพัฒนาการน่าสนใจอีกด้วย (โดยเฉพาะในตอนจบ)

และระหว่างดูผมก็ตระหนักได้ถึง “ความแก่” ของตัวเองครับ (555) ที่รู้สึกแบบนั้นก็เพราะดาราที่มารับบทพ่อๆ แม่ๆ นั้นล้วนเป็นดาราตอนผมยังรุ่นๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะ Luke Perry, Marisol Nichols, Mädchen Amick, Skeet Ulrich, Lochlyn Munro และ Molly Ringwald ก็ลองว่าดาราที่ผมคุ้นเคยจากบทวัยรุ่นๆ ต้องมาเป็นพ่อแม่แล้ว มันก็สะท้อนมาถึงตัวเราที่อายุเยอะตามล่ะครับ

ดาราในเรื่องถือว่าเด็ดครับ ส่วนเรื่องราวก็เล่าได้น่าติดตามดี จังหวะการเล่าเรื่องและวางปมถือว่าพอเหมาะ หนังเดินเรื่องใน 2 ส่วนไปพร้อมๆ กันครับ ส่วนแรกคือปมดราม่าของแต่ละคน ทุกตัวละครล้วนมีปมในใจ ซึ่งพอแต่ละตอนผ่านไป พวกเขาก็โตขึ้นๆ ได้เรียนรู้วิชาชีวิตมากขึ้นทีละนิด ซึ่งการที่ผมชอบซีรี่ส์นี้ในแง่หนึ่งก็คงเพราะมันมีความเป็น Coming of Age อยู่ในนั้นน่ะครับ

ส่วนเส้นเรื่องสืบสวนก็ทำได้น่าติดตาม มีทิ้งปมชวนให้ชมต่อไปจนจบ มีการหักมุมให้เราลุ้น โดยส่วนตัวผมว่าทั้งเส้นเรื่องดราม่าและสืบสวนต่างก็ทำหน้าที่ของมันได้ดีครับ การเดินเรื่องทั้งสองส่วนก็สอดประสานกันแบบเหมาะเจาะ เลยทำให้หนังดูเพลินไปเรื่อยๆ จนจบ

และที่ไม่ชมไม่ได้คืองานภาพที่สีสันจัดจ้าน เล่นแสงสีได้สวยมากๆ โดยเฉพาะร้าน Pop’s ที่เป็นร้านประจำของตัวเอก แสงสีมันสดได้ใจจริงๆ อีกฉากก็ตอนพวกตัวเอกต้องถือไฟฉายไปส่องหาหลักฐานเงื่อนงำในที่มืดน่ะครับ สีของแสงมันตัดกับความมืดนวลๆ ในฉากนั้นได้อย่างสวยทุกทีไป ไหนจะฉากคฤหาสน์บลอสซั่มที่ได้อารมณ์กอธิคไม่น้อย

เกร็ดที่น่าสนใจอย่างหนึ่งคือเรื่องราวของอาร์ชี่และผองเพื่อนนั้น แรกเริ่มเดิมทีน่ะพวกเขาเป็นคอมมิคมาก่อนครับ ถือกำเนิดตั้งแต่ปลายยุค 30 เป็นหนึ่งในคอมมิคที่ได้รับความนิยมมาหลายยุคหลายสมัย ซึ่งการ์ตูนในสังกัด Archie Comics นอกจากเรื่องของอาร์ชี่แล้วก็ยังมี Josie and the Pussycats แก๊งนักร้อง 3 สาวที่มาร่วมปรากฏตัวในซีรี่ส์นี้ด้วย (ซึ่งเรื่องที่ว่าเคยสร้างเป็นหนังใหญ่มาแล้วในปี 2001 นำแสดงโดย Rachael Leigh Cook… แล้วไม่ดังน่ะครับ) นอกจากนี้ Archie Comics ยังมีการ์ตูนแนวซูเปอร์ฮีโร่, ไซไฟ กับแนวสยองขวัญออกมาด้วยครับ

สำหรับเรื่องของ Archie นั้น พล็อตเรื่องสมัยก่อน ก็จะเป็นเรื่องของอาร์ชี่กับผองเพื่อนที่ต้องเจอกับโจทย์ชีวิต หรือไม่ก็ปัญหาต่างๆ โดยพวกเขาก็จะช่วยกันร่วมแรงแก้ไข แต่ละตอนก็จะจบพร้อมแง่คิดสอนใจ ดูๆ ไปก็เหมือนนิทานสอนเด็กยุคใหม่นั่นเองครับ

แล้วในยุคต่อๆ มาก็มีการดัดแปลงให้พวกอาร์ชี่ผจญภัยแบบหลากหลายมากขึ้น เช่นออกแนว Scooby-Doo ไปเจอสัตว์ประหลาดและมนุษย์ต่างดาว และมีอยู่ครั้งหนึ่งอาร์ชี่เคยไป Crossover กับ The Punisher ของค่าย Marvel ด้วยครับ นอกจากนี้ยังมีพล็อตต่อยอดเล่าถึงชีวิตของอาร์ชี่หลังเรียนจบ และเมื่อไม่กี่ปีก่อนก็มีการเขียนพล็อตให้พวกอาร์ชี่เผชิญกับซอมบี้ในเมืองริเวอร์เดลด้วย

สำหรับในโลกจอแก้วแล้วก็มีการทำการ์ตูนออกมาหลายฉบับครับ อย่างผมนี่ก็ได้รู้จัก Josie and the Pussycats หนแรกทางช่อง Cartoon Network (ตั้งแต่สมัย UTV น่ะครับ… ก่อน UBC อีกนะ) แล้วก็มีการทำซีรี่ส์ออกมาด้วย รวมถึงหนังทีวีอีกหลายเวอร์ชั่น เรียกว่าจักรวาลของ Archie Comics ในอเมริกานั้นถือว่าใหญ่ไม่ใช่น้อยเลยครับ

ดังนั้นพอมีการทำฉบับนี้ออกมา จึงไม่แปลกครับที่แฟนๆ Archie แบบเหนียวแน่นบางส่วนจะมองว่าซีรี่ส์นี้ “มันไม่ใช่” หรือบางส่วนก็ไม่ชอบกับการที่เอามิติมนุษย์เชิง “โลกีย์” มาใส่ในตัวละครกลุ่มนี้ พวกเขามองว่ามันทำลายเสน่ห์บางอย่างของ Archie น่ะครับ

ส่วนผมก็ถือเป็นแฟน Archie Comics แบบไม่ถึงกับเหนียวแน่นเท่าไร ซึ่งที่ไม่เหนียวนี่ไม่ใช่เพราะไม่ชอบนะครับ จริงๆ ชอบตั้งแต่เด็ก แต่สมัยก่อนการจะหามาอ่านมาดูนั้นเป็นอะไรที่ยากมาก จนได้มาดูเยอะขึ้นก็ยุคหลังๆ ที่โลกไร้พรมแดนนี่แหละ (ใครอยากดูเวอร์ชั่นเก่าๆ ก็ไป Youtube ได้เลยครับ ลอง Search ด้วยคำว่า The Archie Show หรือ Josie And The Pussycats ดูครับ ท่านอาจจะชอบมันเหมือนที่ผมชอบก็ได้)

สำหรับผม ผมมองว่า Archie นั้นมีธีมหลักคือกลุ่มเด็กรุ่นใหม่ที่กล้าเผชิญโลก กล้ารับมือกับปัญหา ไม่ย่อท้อยอมแพ้ง่ายๆ พร้อมจะไขปริศนา และชอบมองโลกในมุมบวก ซึ่งธีมนั้นยังมีอยู่ใน Riverdale ครับ แม้เรื่องราวจะดูคาวโลกีย์ขึ้นก็เถอะ แต่เด็กกลุ่มนี้ก็ยังคงความกล้าหาญที่จะเผชิญกับความจริง และยังเชื่อในพลังด้านบวกอยู่

ทั้งหมดนี้มันอาจจะเข้าทางผมอยู่ครับ Riverdale เป็นซีรี่ส์ Coming of Age ผสมกับความเป็นซีรี่ส์สืบสวนที่ทำได้น่าติดตาม ธีมสำคัญคือเรื่องของวัยรุ่นที่กล้าคิดกล้าทำ กล้ามองบวกท่ามกลางสังคมที่ดูจะเลวร้ายและซ่อนเร้นไว้ด้วยความลับมากมาย

ผมชอบที่แต่ละตัวละครได้เรียนรู้ผ่านเรื่องราวต่างๆ อย่างอาร์ชี่เองก็ตอนต้นๆ เขาก็มองบวกเยอะมากๆ อยู่ แต่พอผ่านเรื่องราวหลายอย่างไปเขาก็เริ่มตระหนักว่าโลกมันมีทั้งมุมสว่างและมุมมืด การมองบวกอย่างเดียวไม่ใช่ทางอันฉลาดเลย แต่ขณะเดียวกันแม้โลกจะมีมุมมืดมากแค่ไหน เขาก็ยังศรัทธาที่จะใช้ “แสงสว่าง” หรือ “มุมบวก” ในการรับมือกับเรื่องต่างๆ

ยังมีอีกอย่างที่ผมชอบ แต่ต้องสปอยล์ล่ะนะครับ เอาเป็นว่าผมชอบซีรี่ส์นี้ครับ อยากให้ลองดูกัน แต่ไม่รับประกันว่าทุกคนจะโดนกับซีรี่ส์นี้แบบผมน่ะนะครับ… สปอยล์ล่ะนะครับ

+++++++++++++++++++++++++++++++++++
+++++++สปอยล์จริงๆ จ้า+++++++++++++++++
+++++++++++++++++++++++++++++++++++

ผมชอบที่ธีมหลักอีกอย่างของซีรี่ส์คือการที่เด็กหนุ่มสาวกลุ่มนี้ต้องมาเจอกับสารพัดปัญหาที่คนรุ่นพ่อรุ่นแม่ก่อเอาไว้ ไม่ว่าจะความแค้นระหว่างตระกูล, การแข่งขันเอาชนะกัน, การเหยียดหยามกันและกัน, เรื่องศักดิ์ศรี-ยศฐา-หน้าตา-บ้าบอคอแตก ฯลฯ ทั้งหมดคือต้นเหตุที่แท้จริงของเรื่องราวเลวร้ายครั้งนี้

ขณะที่คนรุ่นพ่อรุ่นแม่เอาแต่วางท่า ปั้นหน้า จิกกัด หักหลัง จัดฉาก ถ่มถุย ฯลฯ เพื่อเอาชนะกัน แต่สุดท้ายแล้วไม่มีใครชนะเลยครับ มันรังแต่จะทำให้เรื่องเลวร้าย และยังเป็นบ่อเกิดของปัญหาใหม่ๆ อีกต่างหาก จนต้องให้คนรุ่นลูกต้องมารับกรรม ต้องมาแก้ไข ต้องมาเยียวยาความสัมพันธ์ของคนรุ่นก่อน

ในมุมมองผม ผมเลยไม่ได้มองพวกอารชี่ว่าเป็นเด็กหนุ่มสาวในเชิงคาวโลกีย์เท่านั้น แต่ผมมองพวกเขาในเชิงคนรุ่นใหม่ที่เรียนรู้อะไรๆ ได้เร็วขึ้น (โดยเฉพาะการเรียนรู้แบบก้าวกระโดดผ่านการกระทำอัน “เส็งเคร็ง” ของคนรุ่นก่อน)

ยิ่งตอนจบมันยิ่งใช่น่ะครับ สิ่งที่เบ็ตตี้พูดมันสื่อตรงๆ เลยว่า พวกเธอจะขอยืนหยัดทำสิ่งที่ถูก จะขอปรับปรุงแก้ไขเมืองริเวอร์เดลให้มันดีขึ้น แม้ว่าจะมีกระแสต่อต้านแค่ไหนก็เถอะ

จริงๆ ก็พอเข้าใจคนที่ต่อต้านการกระทำของพวกเธอน่ะนะครับ เพราะพวกเธอกำลังจะสั่นคลอนพื้นฐานบางอย่าง และกำลังจะทำให้วงจรผลประโยชน์ของชาวเมืองบางส่วนเสียหาย… แต่ปัญหาคือวงจรที่ว่ามันผิด และมันพร้อมจะผุพังลงได้ทุกเมื่อ หากยังขืนปล่อยมันไว้ โดยปราศจากการแก้ไขล่ะก็ สุดท้ายรากฐานก็จะทรุดและเมืองก็จะถล่มอย่างแน่นอน

แล้วผมก็มองย้อนกลับมาที่ประเทศๆ หนึ่ง… ที่ผมไม่ขอเอ่ยนาม…

ก่อนจะถอนหายใจด้วยความอ่อนล้า… แต่กระนั้นผมก็จะยังไม่หยุด และยังจะขอทำอะไรสักอย่าง เพื่อประคองมันให้ดีที่สุด

เพื่อลูกหลานเรา…

สามดาวครับ

Star31

(8/10)