No Time to Die พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ

No Time to Die พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ

ในที่สุด..และในที่สุดก็มาถึงเวลาปิดตำนาน เจมส์ บอนด์ ในฉบับของ “แดเนียล เคร็ก” ที่่ถือว่าเขาเป็นสายลับ 007 ที่คนในยุคโซเชียลมีเดียพัฒนาคุ้นเคยกันมาเป็นอย่างดี ตลอดระยะ 15 ปีที่เขาได้ถือเขาบทนี้ และนี่คือ “No Time to Die” (พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ) ที่เป็นภาคสุดท้ายในการรับบทบาทนี้ของเขา ที่ถือว่าเป็นการกลับคืนฟอร์มได้อย่างสมศักดิ์ศรี และสามารถอำลาตำแหน่งนี้ไปด้วยอย่างน่าจดจำเลยทีเดียว

รีวิวหนัง No Time to Die พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ

สำหรับในภาค No Time to Die หนังลำดับที่ 25 ของ เจมส์ บอนด์ เรื่องนี้เล่าเรื่องราวของ บอนด์ ที่กำลังสนุกไปกับชีวิตอันเงียบสงบในจาไมก้า แต่ช่วงเวลาพักผ่อนนั้นก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เพราะ เฟลิกซ์ ไลเทอร์ เพื่อนเก่าจากซีไอเอ ได้มาขอให้เขาช่วยทำงานให้ เป้าหมายคือช่วยชีวิตนักวิทยาศาสตร์ที่ถูกลักพาตัวไป ซึ่งเหตุการณ์นี้ดูเลวร้ายกว่าที่คิดไว้ บอนด์ต้องเข้าไปเผชิญกับศัตรูลึกลับที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่สุดอันตรายเป็นอาวุธ

ส่วนตัวถึงแม้ว่าจะยังไม่คุ้นเคยและคลุกคลีกับงานกำกับของ “แครี่ โจจี้ ฟูคูนากะ” ที่เพิ่งจะมาได้ยินชื่อก็จากหนังบอนด์เรื่องนี้นี่แหละ พอได้เห็นงานชิ้นของเขาแล้ว ต้องถึงกับอุทานร้อง…โอ้โห้! ออกมาเบาๆ เพราะงานกำกับของเขาถ่ายทอดออกมาได้อย่างคมคาย เก็บรายละเอียดเกือบจะทุกใหม่ ซ้ำยังสร้างมุมมองใหม่ๆ ให้กับหนังตระกูลบอนด์ ในแง่การสื่ออารมณ์และถ่ายทอดผ่านงานโปรดักชั่นและการถ่ายภาพ บอกเลยว่า…ค่อนข้างมุมกล้องและมุมถ่ายหลายๆ จุดผ่านวิสัยทัศน์ผู้กำกับคนนี้

รีวิวหนัง No Time to Die พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ

แครี่ โจจี้ ฟูคูนากะ ยังลงมาร่วมเขียนบทหนังบอนด์ในภาคนี้เองด้วย ร่วมกับนักเขียนบทขาประจำ “นีล เพอร์วิส” กับ “โรเบิร์ต เวด” ก็ต้องเป็นอีกองค์ประกอบที่เราต้องลุกขึ้นยืนปรบมือให้จริงๆ เพราะนี่ถือว่าเป็นบทหนัง 007 ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวที่ทำให้จดจำ มีเส้นเรื่องที่มั่นคงแข็งแรง แม้ว่าจะยังไม่หนักแน่นเต็มร้อยสักเท่าไหร่ แต่โครงเรื่องของภาคนี้ต้องเน้นจำเลยจริงๆ ว่า…ค่อนข้างกลมกล่อมตั้งแต่เริ่มไปจนถึงปลายทางเลยทีเดียว

หนึ่งในสิ่งที่เห็นได้ชัดถึงการปรับเปลี่ยนและยกระดับในหนัง No Time to Die ก็การสร้างมิติให้กับคาแรกเตอร์หลักอย่าง เจมส์ บอนด์ ให้เป็นผู้ชายที่มีชีวิตจิตใจ มีอารมณ์ความรู้สึก และนี่น่าจะเป็นบอนด์ในฉบับที่มีความเป็นมนุษย์อยู่สูงมากๆ มากกว่าภาคไหนที่ผ่านมาด้วยซ้ำ เห็นได้ชัดเจนว่าหนังต้องการจะสดุดีการรับทบาทนี้เป็นครั้งสุดท้ายของ แดเนียล เคร็ก เขาจึงทำหน้าที่แบกรับหนังเอาไว้ทั้งเรื่อง มีซีนตลอดทางมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

รีวิวหนัง No Time to Die พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ

แดเนียล เคร็ก กับบท เจมส์ บอนด์ ก็เหมือนจะเข้ากันได้ดีไปในสายเลือดของเขาไปแล้ว ไม่ว่าจะย่างกายหรือเอื้อมมือไปทำอะไร ทุกอิริยาบถก็เต็มไปด้วยไอค่อนของความเป็น 007 ในตัวเขาล้วนๆ บทหนังที่ส่งเสริมคาแรกเตอร์นี้ของเขาให้โดดเด่นสุดๆ เขาเองก็ถ่ายทอดและแสดงออกไปได้อย่างสุดทาง ฉากแอคชั่นผาดโผนต่างๆ ทำได้อย่างยอดเยี่ยมและไม่มีอะไรขัดหูขัดตาแม้แต่น้อย ก็ต้องยอมรับว่า แดเนียล ก็คือหนึ่งในองค์ประกอบที่ดีที่สุดในหนัง No Time to Die

ในภาคนี้มีการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างยาวนาน กับเวลา 2 ชั่วโมงกว่าๆ เกือบจะย่าง 3 ชั่วโมง แต่การเป็นหนังที่ไม่ค่อยทำให้รู้สึกน่าเบื่ออะไรเลย เพราะเรื่องราวเข้มข้นที่ชวนในจดจ่ออยู่บนจอ เรื่องความยาวของหนังแทบจะไม่เป็นอุปสรรคอะไร ในขณะที่หนังปล่อยให้ แดเนียล โดดเด่นขนาดนี้ แน่นอนว่าบทอื่นๆ ก็ต้องปรับลดทอนแอร์ไทม์ลงมาเป็นธรรมดา แต่นับว่ายังโชคดีที่ภาคนี้ส่วนใหญ่มีแต่ตัวละครที่ผู้ชมคุ้นเคยจากภาคก่อนๆ หน้านี้ดีอยู่แล้ว ทำให้ทุกอย่างดูไหลลื่นดี

รีวิวหนัง No Time to Die พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ

“ลาชานา ลินช์” ที่มาสวมบทเป็น 007 คนใหม่ ก็เป็นคาแรกเตอร์ที่ปูทางเอาไว้ได้น่าสนใจไม่เบา เป็นสายลับสาวที่ดุดันและขึงขัง แต่ในขณะเดียวกันก็ยังเต็มไปด้วยความเบ๊อะบ๊ะผสมผสานออกมาได้ดี “เลอา แซดู” ที่หนังภาคนี้ค่อนข้างฉายสปอต์ไลต์ใส่เธอเต็มๆ ก็ให้การแสดงในชนิดน้อยแต่มาก มีซีนไม่มากแต่โผล่มาทีไรก็ห้ามกะพริบตาเลยทีเดียว

ในขณะที่บทสมทบอื่นๆ ในหนังภาคนี้ แม้จะมีซีนไม่มากเหมือนภาคก่อนๆ แต่บทหนังก็ใส่รายละเอียดและมิติให้ได้อย่างน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น “เรล์ฟ ไฟนส์” ในบท เอ็ม รวมทั้ง “เบน วิชอว์”, “นาโอมิ แฮร์ริส” หรือ “เจฟฟรีย์ ไรท์” โดยที่วายร้ายหลักของหนังก็ยังทำหน้าที่ได้ดี แบบไม่ต้องอารัมภบทเยอะ “รามิ มาเลก” กับ “คริสท็อฟ วัลทซ์” มาแบบร้ายขรึมๆ ก็อยู่หมัดแล้ว

รีวิวหนัง No Time to Die พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ

แต่อีกคนที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็ตาม “อนา เดอ อาร์มัส” ในบทสายลับสาวฝึกหัด ที่แม้ว่าจะออกมามีซีนเหมือนกับแขกรับเชิญ แต่ตลอดระยะเวลาแอร์ไทม์ของเธอที่มีอยู่ในหนังนั้น ทำให้คนดูเคลิ้บเคลิมและหลงใหลไปกับเสน่ห์สวยสังหารของเธอแบบหยาดเยิ้่มคาจอ เป็นอีกหนึ่งตัวละครที่หยิบใส่เข้ามาได้ดีในภาคนี้ แม้ว่าจะยังไม่จุใจคนดูสักเท่าไหร่ แต่ก็หวังว่าในอนาคตจะได้เห็นเธออกมาบู๊สวยๆ เท่ๆ แบบนี้อีก

เอาเป็นว่า No Time to Die เป็นหนังเจมส์ บอนด์ ภาคที่แทบไม่มีอะไรให้ติเลย แต่ไม่ใช่ว่าหนังจะสมบูรณ์แบบขนาดนั้น ก็ยังมีบางจุดที่หนังยังขาดๆ เกินๆ และไม่สมเหตุสมผลอยู่บ้าง แต่เพราะความทรงพลังทางการแสดงของแดเนียล กับการเล่าเรื่องและบทหนังที่ค่อนข้างเอาอยู่ ทำให้คนดูมองข้ามจุดด้อยต่างๆ ไปอย่างไม่ต้องเป็นกังวล

รีวิวหนัง No Time to Die พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ

คงจะบอกได้ชัดๆ เลยว่า นี่คือเป็นหนังปิดตำนานเจมส์ บอนด์ ของ แดเนียล เคร็ก ที่สมเกียรติเป็นอย่างยิ่ง ไม่ได้เป็นแค่เพียงหนังแอคชั่นภารกิจอีกต่อไป แต่ใส่หัวใจที่เป็นชิ้นเป็นอันเข้ามาเติมเต็มเรื่องราวในมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น จะว่าไปแล้วภาคนี้ก็ถือว่าค่อนข้างดี ดีเป็นรองแค่เพียง “Skyfall” เมื่อเปรียบเทียบจากหนัง 007 ของแดเนียลทั้งหมด พอถึงในคราวที่ต้องร่ำลา…ก็น่าใจหายเบาๆ แต่การปิดฉากในครั้งนี้ของบอนด์ ที่ชื่อว่า แดเนียล เคร็ก เป็นหนึ่งในซีนที่น่าจดจำไปอีกยาวนาน…

ข้อมูลเกี่ยวกับหนัง No Time to Die พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ

  • ประเภท: แอคชั่น / ผจญภัย
  • ผู้กำกับ: แครี่ โจจี้ ฟูคูนากะ
  • นำแสดงโดย: แดเนียล เคร็ก, เลอา แซดู, ลาชานา ลินช์, เรล์ฟ ไฟนส์
  • ความยาว: 164 นาที
  • กำหนดฉายในไทย: 7 ตุลาคม 2021

Movie.TrueID METRIC: No Time to Die พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ

  • ภาพรวม
    ⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰ (9/10)
  • การเล่าเรื่อง
    ⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰ (8/10)
  • การแสดง
    ⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰ (8/10)
  • บทภาพยนตร์
    ⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐✰✰ (8/10)

ห้ามพลาด! ย้อนกลับไปทบทวนความประทับใจของเจมส์ บอนด์ 007
ฉบับ แดเนียล เคร็ก ทั้ง 4 ภาคของเขา ได้ที่ทรูไอดีพลัส

—————————————————-