ตั้งแต่ได้ยินพล็อตก็ตระหนักได้เลยครับว่าหนังเข้าทางผมอย่างแรง ผมนั้นเป็นประเภทชอบหนังชีวิตที่บอกเล่า “ช่วง Moment หนึ่งของชีวิตใครบางคน” อย่างมากทีเดียว
ผมรู้สึกว่าหนังประเภทนี้มันมีความพิเศษนะ มันคือการที่เรานั่งจับจ้องและรับรู้เรื่องราวของใครสักคน เรื่องราวที่แฝงไว้ด้วยอารมณ์ ความรู้สึก ความสุข-ความเศร้า รอยยิ้ม-น้ำตา ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่จะมี “อะไรบางอย่าง” ที่ส่งผลต่อความรู้สึกหรือชีวิตของคนๆ นั้น
ส่วนคนดูอย่างผมก็เหมือนพลอยได้ประโยชน์ เพราะเหตุการณ์ของคนบางคน อาจทำให้เราเห็นสาระสำคัญบางอย่างของชีวิต ให้เรานำมาปรับใช้หรือนำมาพิจารณาวิถีที่เราก้าวเดินอยู่… ในมุมหนึ่งก็เหมือนการมองชีวิตตัวเอง ผ่านการมองชีวิตคนอื่นๆ น่ะครับ
ว่าตามพล็อตจริงๆ แล้ว Snap ไม่ได้แปลกใหม่นะ มันคือเรื่องราวสไตล์ “เพื่อนสนิท” ที่ใครคนหนึ่งแอบชอบใครอีกคน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้พวกเขาไม่ได้ลงเอยกัน จากนั้นพอเวลาผ่านไป พวกเขาก็ได้มาเจอกันอีกหน และบางสิ่งบางอย่างที่ยังค้างคา ก็กลับมาสู่ความรู้สึกของพวกเขาอีกครั้ง
บอกก่อนเลยครับว่าหนังเดินเรื่องแบบช้าๆ นะ Slow เรื่อยๆ ไม่ได้เร่งเร้าอะไร อีกทั้งหนังยังไม่ค่อยปรุงด้วย ดนตรีก็ใช้เท่าที่จำเป็น ฉากอารมณ์ก็ไม่ได้บีบเค้นเน้นให้เราพีค ดังนั้นใครไม่ชอบหนังช้าๆ ประมาณนี้ก็ขอให้ทำใจไว้ก่อนดูครับ
สำหรับผมนั้น หนังช้าหรือเร็วก็ไม่เป็นไรครับ ขอให้ทำออกมากลมกล่อมในแบบของมันก็พอ คือถ้าจะช้า ก็ช้าให้มันได้อารมณ์ หรือถ้าจะเร็วก็เร็วให้สำเร็จทั้งในแง่เนื้อหาและอารมณ์ และสำหรับเรื่องนี้ผมว่าหนังได้อารมณ์นะ ความช้าต่างๆ ในหนังล้วนมีผลต่อตัวละครหรือต่อเหตุการณ์ ทำให้เราเข้าถึงเรื่องราวได้ดีขึ้น
จริงๆ หนังแนวนี้จะโดนใจใครหรือไม่นั้น ส่วนหนึ่งคงต้องดูครับว่าเราเคยมีประสบการณ์ทำนองนี้ไหม หรือภาพในหนังมันสะท้อนให้เรานึกถึงชีวิตตัวเราไหม หากปรากฏว่าส่วนเสี้ยวหนึ่งของชีวิตเราเคยมีภาพเหล่านั้นอยู่ในความทรงจำ การจะอินตามก็จะเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น
แน่นอนครับว่าการดูหนังเรื่องนี้สำหรับผมมันก็มี Moment ที่อินนะ ดังนั้นการที่ผมเล่าถึงหนังเรื่องนี้ก็อาจจะออกในแนว “ชอบ” หนังเรื่องนี้ ซึ่งผมก็ไม่อยากการันตีฟันธงล่ะครับว่าหนังมันดีมากจนต้องดู เพราะผมว่าผมก็ไม่เชิงเป็นกลางนักหรอกครับ (555) เอาเป็นว่าใครอ่านแล้วรู้ว่าตัวเองชอบหนังแบบนี้ ผมก็อยากกวักมือชักชวนให้ลองลิ้มกัน
การดูหนังเรื่องนี้นี่ยอมรับว่าโดนในหลายจุดนะครับ หลาย Moment นี่ถือเป็นภาคบังคับสำหรับคนที่เคยแอบรักเพื่อนเลยล่ะ เช่น เวลาคนที่เราชอบ (แต่ไม่ได้ลงเอยกัน) มาชวนให้เราไปไหนด้วยหรือทำอะไรด้วย บางทีเราอยากหลบ อยากปฏิเสธ คือใจจริงน่ะอยากไปครับ แต่อีกใจก็อยากอยู่ให้ห่าง และส่วนมากเราก็จะทำอะไรที่มันตรงข้ามกับ “ใจจริง” อยู่เรื่อยนั่นแหละ
หรือเวลาที่เรามีอะไรสักอย่างในใจ จนเราเองนิ่งและมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปจนคนทั้งสากลโลกเขารับรู้ได้หมดว่าเราต้องเป็นอะไรสักอย่าง แต่ต่อให้ใครมาถาม เราก็จะบอกว่า “เปล่า ไม่เป็นไร” และเก็บงำ “ความ” นั้นไว้ ให้อยู่ “ในใจ” เพียงคนเดียว
… ถ้าหนักหน่อยเราก็จะแยกตัวจากหมู่เพื่อน ไปนั่งมันแถวๆ ริมน้ำ ริมถนน ในป่า ดาดฟ้า… ไปในที่ห่างไกลจากผู้คน… จริงไหมครับ ^_^
สิ่งหนึ่งที่สังเกตระหว่างดูหนังเรื่องนี้คือ ฉากใดก็ตามที่ตัวละครทำเป็น “ลืม” อะไรสักอย่าง สิ่งที่ “ลืม” นั้นมักเป็นเรื่องสำคัญ หรือมักเป็นการตอบอยู่ในทีว่าจริงๆ แล้วเขาหรือเธอ “ลืม” เรื่องนั้นๆ จริงๆ หรือแค่เอ่ยปากว่า “ลืม” เพื่อปกปิดอะไรบางอย่างไว้ในใจ?
ระหว่างดูก็อดคิดไม่ได้ครับว่า คำว่า Snap ไม่ได้สื่อถึงแค่ภาพถ่ายในความทรงจำ แต่จริงๆ มนุษย์เราก็ Snap เรื่องราวต่างๆ ในชีวิตเก็บไว้เสมอ ยิ่งเรื่องสำคัญๆ นี่สมองและหัวใจเรามักจะกดชัตเตอร์เก็บ Moment นั้นไว้โดยที่เราไม่รู้ตัว…
ผมชอบครับเรื่องนี้ ว่ากันตรงๆ แบบนี้เลย ^_^ ชอบบรรยากาศ ชอบอารมณ์ ชอบการเล่า ชอบหลายๆ ฉาก มันเหมือนหนังเรื่องนี้ก็แอบทำให้ภาพที่เราเคย Snap ไว้ผุดขึ้นในใจน่ะครับ
และที่ชอบอีกอย่างคือบทสรุปครับ ผมว่ามันใช่ในแบบของมันนะ
สามดาวครับ
(8/10)