หนังเท่ห์ระดับตำนานอีกเรื่องครับ ตัวเอกคือ จอห์น แชฟท์ (Richard Roundtree) นักสืบเอกชนคนแกร่งที่กล้าท้าชนทุกอันตราย ไม่หวั่นแม้ฝ่ายตรงข้ามจะเป็นตำรวจหรือเจ้าพ่อบิ๊กเบิ้มแค่ไหนก็ตาม ลองว่าเจอแชฟท์ก็ต้องสะท้านด้วยกันทั้งนั้น
นี่คือภาคแรกอันเป็นต้นตำรับครับ ครั้งนี้แชฟท์รับงานตามสืบหาลูกสาวของเจ้าพ่อบัมปี้ โจนาส (Moses Gunn) ที่โดนคนลักพาตัวไป ตอนแรกเขาก็นึกว่าจะเป็นการลักพาเพื่อแก้แค้น แต่ไปๆ มาๆ เรื่องมันชักจะซับซ้อน เพราะมีพวกเจ้าพ่อคนขาวมาพัวพันด้วย
จุดเด่นแบบสุดๆ ต้องยกให้ลีลาของ Roundtree ครับ เขาเป็นแชฟท์ที่เท่ห์มากๆ ท่าทางองอาจ เข้มไม่กลัวใคร แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้กร่างแบบอันธพาลครับ เรียกว่าเป็นส่วนผสมระหว่างนักสืบหัวไว คนแกร่งมาดเข้ม และมีเสน่ห์แบบคาสซาโนวา หล่อเร้าอารมณ์ ครบเครื่องสุดๆ ไปเลยครับ
แล้วคาแรคเตอร์ของแชฟท์ก็น่าจดจำเอามากๆ ด้วย เขาฉลาดครับ มองเกมได้เก่ง และชอบวางแผนล่อคนนั้นคนนี้ให้มาติดกับ อย่างตอนต้นพอเขาจะสืบหาร่องรอยลูกสาวของบัมปี้ เขาก็เดินไปทั่ว ถามคนไปเรื่อยๆ ว่าเคยเห็นคนนั้นคนนี้ไหม ซึ่งถ้าบางคนมองก็อาจจะมองว่าแชฟท์ดูสืบแบบสะเปะสะปะ แต่แท้จริงแล้ว แชฟท์จงใจถามคนให้มากๆ เพื่อให้ใครก็ตามที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้สังเกตเห็นครับ และเมื่อนั้นเจ้าตัวการก็จะส่งคนมาสะกดรอยเขา มาเผยตัวเผยไต๋ให้เขาจับผิดได้เอง
ไหนจะบทพูดคมๆ จากปากของแชฟท์ที่ชอบกัดคนนั้นทีคนนี้ที แต่ไม่ใช่กัดแบบอาละวาดฟาดงวงนะครับ ทว่าเป็นการกัดแบบเสียดสี แอบประชด บางทีก็ด่าแบบผู้ดีน่ะครับ อะไรเหล่านี้ยิ่งเสริมความเท่ห์ให้เขามากขึ้นไปอีก และทำให้การดูหนังเรืองนี้เป็นอะไรที่เพลินสุดๆ ครับ แค่ดูลีลาของจอห์น แชฟท์ก็สนุกแล้วล่ะ
ในขณะที่การเดินเรื่องก็น่าติดตามดีครับ ว่ากันจริงๆ บทหนังอาจไม่ได้ล้ำลึกเข้มข้นอะไรนะ แต่มันสนุกและน่าติดตามเพราะแชฟท์นี่แหละ ดูแล้วอยากรู้ว่าแชฟท์จะเดินเกมตามรอยยังไงต่อ
ของดีอีกอย่างคือดนตรีครับ ไม่ว่าจะดนตรีหรือ Soundtrack ต่างก็น่าจดจำ โดยเฉพาะเพลงธีมอมตะของแชฟท์ที่แต่งโดย Isaac Hayes ซึ่งจริงๆ แล้วตอนแรก Hayes ก็มาคัดตัวเพื่อรับบทแชฟท์ครับ แต่ท้ายสุดผู้สร้างก็เลือก Roundtree แต่กระนั้นผู้สร้างก็ยังอยากให้ Hayes มาแต่งเพลงธีมให้ครับ และนั่นก็เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องอย่างยิ่ง เพราะธีมที่ Hayes แต่งสุดแสนจะเท่ห์จริงๆ
มีข่าวลือว่าหนังเรื่องนี้แรกเริ่มเดิมทีจะมีตัวเอกเป็นคนผิวขาวครับ แต่พอหนัง Sweet Sweetback’s Baadasssss Song (1971) ดังขึ้นมา บทก็เลยถูกปรับให้ตัวเอกเป็นคนผิวดำเพื่อเกาะกระแส Blaxploitation (หนังที่มีคนผิวดำแสดงนำ) แต่ข่าวลือนี้ก็ถูกค้านด้วยการที่หนังเรื่องนี้สร้างจากนิยายของ Ernest Tidyman ที่มีตัวเอกเป็นคนผิวสีอยู่แล้ว (นิยายตีพิมพ์ในปี 1970) อีกทั้งหนัง Shaft เดินกล้องถ่ายทำตั้งแต่เดือนมกราคมปี 1971 ในขณะที่ Sweet Sweetback’s Baadasssss Song นั้นฉายเอาเดือนเมษายนปีเดียวกัน ดังนั้นข่าวลือนี้จึงตกไปครับ
หนังกำกับโดย Gordon Parks ซึ่งว่าตามจริงแล้วตัวหนังนั้นไม่เด่นแบบชัดเจนครับ เพราะความเด่นคือตัวแชฟท์ล้วนๆ ในขณะที่ตัวละครอื่นๆ จริงๆ ก็แสดงกันดีครับ แต่ความเด่นแต่ละฉากจะเทไปที่พี่แชฟท์หมด
Gunn ไปได้ดีกับบทบัมปี้ครับ,Charles Cioffi ก็น่าจดจำในบทวิค ตำรวจที่คอยเกาะติดแชฟท์ แล้วก็ Drew Bundini Brown มือขวาจอมกวนของบัมปี้ที่หาเรื่องแชฟท์ได้ตลอดๆ
ตัวหนังลงทุนไปประมาณ $1 ล้านครับ และโกยเงินคืนมาได้ $13 ล้าน เรียกว่าประสบความสำเร็จอย่างสวยงามทีเดียว
สรุปคือผมชอบครับ แชฟท์เท่ห์สุดๆ และทำให้หนังน่าติดตามไปตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งผมประทับใจไม่น้อยเพราะจริงๆ ปกติถ้าหนังสืบสวนแบบนี้ไม่เข้มข้นพอล่ะก็ มันจะไม่สนุกเท่าไรสำหรับผม แต่นี่อย่างที่บอกครับว่าจริงๆ บทก็ไม่ถึงกับเข้มข้น แต่พลังตัวละครของแชฟท์น่ะแรงมากจริงๆ จนทำให้ผมลืมเรื่องบทไปเลย เพราะแค่ดูแชฟท์ก็สนุกพอแล้ว
และนี่ถือเป็นหนังเรื่องแรกๆ ในโลกภาพยนตร์ที่มีตัวละครออกมาบอกว่าตัวเองเป็นเกย์ครับ (ฉากในบาร์น่ะครับ)
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)