หนังวัยรุ่นแนวไซไฟที่ผมรู้สึกถูกชะตาตั้งแต่การดูครั้งแรกเมื่อหลายสิบปีก่อนครับ โดยผมนั้นดูภาค 2 (ภาค Bogus Journey) ก่อน แล้วค่อยมาดูภาคแรกทีหลัง และผลสรุปรวมก็คือผมรู้สึกสนุกกับการดูหนังชุดนี้ทุกรอบที่ดูครับ
เอาเข้าจริงแล้วหนังสไตล์นี้มีออกมาเรื่อยๆ ในยุค 80 – 90 นะครับ ประเภทว่ามีวัยรุ่นเป็นตัวเอกแล้วก็ไปเจอกับเหตุการณ์ประหลาดๆ เจอในเชิงวิทยาศาสตร์บ้าง (เช่น สิ่งประดิษฐ์แปลกๆ, เจาะมิติทะลุเวลา, โผล่ไปเจอมิติแปลกๆ หรือจีะเอ๋กับมนุษย์ต่างดาว) หรือไม่ก็เจอเรื่องเหนือธรรมชาติ (เจอผี, ปีศาจ หรือไม่ก็สัตว์ประหลาด) ซึ่งโทนหนังที่ออกมาก็แล้วแต่คนสร้างน่ะครับว่าจะให้ไปทางไหน บางเรื่องก็ตลก บางเรื่องก็สยอง ซึ่งอย่างหนึ่งที่บอกได้ก็คือ ไม่ใช่ทุกเรื่องที่จะทำออกมาแล้วสนุกครับ บางเรื่องก็ต๊องเกิน หรือบางเรื่องก็จืดเกิน
สำหรับหนังชุด Bill & Ted นี่ก็จัดว่าทำออกมาแล้วอยู่ในข่ายดูเพลินครับ อาจไม่ได้สุดยอดมากมาย แต่ก็ดูสนุกได้เรื่อยๆ โดยเรื่องราวก็ว่าด้วยการผจญภัยของบิลล์ เอส. เพรสตัน เอสไควร์ (Alex Winter) และ เท็ด ธีโอดอร์ โลแกน (Keanu Reeves) คู่หูคู่ซี้ที่คลั่งไคล้การเล่นดนตรีแบบสุดๆ แต่อย่าถามเรื่องการเรียนนะครับ เพราะพวกเขากำลังอยู่ในช่วงวิกฤติ กำลังจะตกวิชาประวัติศาสตร์อยู่รอมร่อ
จากนั้นก็มีคนจากอนาคตนามว่า รูฟัส (George Carlin) เดินทางมาช่วยพวกเขาครับ โดยเอาตู้โทรศัพท์ไทม์แมชชีนมาให้ยืมใช้เพื่อเก็บข้อมูลในการทำรายงานวิชาประวัติศาสตร์ เนื่องจากชะตากรรมของบิลล์กับเท็ดจะมีผลต่อความมั่นคงของโลกอนาคตครับ ประมาณว่าถ้าพวกเขาสอบตก หมดอนาคต ก็จะทำให้อนาคตหายนะไปด้วย คนจากอนาคตเลยต้องตามมาช่วย (นึกๆ ไปก็นึกถึงโดราเอมอนเหมือนกันนะ มุกประเภทว่าคนในอนาคตย้อนมาช่วยคนในปัจจุบันแก้ปัญหาเรื่องการเรียนเนี่ย)
ทีนี้บิลล์กับเท็ดก็เลยต้องย้อนเวลาไปนำพาเอาคนที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์มาช่วยในการพรีเซนต์รายงานครับ แต่ก็แน่นอนว่ามันไม่ง่ายเท่าไหร่ เนื่องจากทั้งบิลลืกับเท็ดออกแนวต๊อง เลยทำให้เราต้องลุ้นอยู่หลายเพลาเหมือนกันว่าจะสามารถทำภารกิจรอบนี้ได้สำเร็จหรือไม่
ผมแน่ใจว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะชอบหนังเรื่องนี้ อย่างภรรยาผมก็คนหนึ่งล่ะครับ ดูแล้วเธอเกิดคำถามว่ามันสนุกตรงไหน ซึ่งผมก็ถามตัวเองเหมือนกันว่าผมนั้นไปชอบหนังเรื่องนี้ที่ตรงไหน คำตอบที่พอจะนึกได้ก็คือ ผมชอบเพราะมันเป็นหนังไซไฟวัยรุ่นแบบที่ผมคุ้นเคยครับ เพราะได้ดูอยู่เรื่อยๆ ในช่วงยุค 90 คือมันอาจจะไม่ได้สนุกสุดติ่งอะไรมากมายน่ะนะครับ แต่มันมีส่วนผสมที่พอเหมาะในแนวทางของมัน คือมีตัวเอกเพี้ยนๆ, มีการผจญภัยย้อนเวลา, มีสถานการณ์ชวนให้ขำ แล้วก็มีโจทย์ปัญหาให้ตัวเอกต้องแก้เป็นระยะๆ ก่อนจะจบลงอย่างแฮ้ปปี้ด้วยชัยชนะของคนที่ถูกมองว่าต๊องอย่าง 2 ตัวเอก
จะว่าไปมันก็คือสูตรสำเร็จหนังวัยรุ่นอยู่เหมือนกันครับ สมัยนั้นตอนดู (ตอนยังวัยรุ่นน่ะนะครับ) ที่ดูแล้วชอบ ดูแล้วเชียร์ ก็คงเพราะดูแล้วอดนึกถึงตัวเองไม่ได้ เพราะสมัยนั้นผมก็ออกแนวต๊องๆ เหมือนกัน เลยทำให้การได้เห็นพวกเดียวกันได้รับความสำเร็จ (ในหนัง) มันทำให้เกิดอารมณ์ร่วมโดยอัตโนมัติ (คล้ายๆ ว่าเราได้รับความสำเร็จไปด้วย – อินน่ะครับ มันอิน)
ครั้นพอมาดูอีกในตอนนี้ (ตอนที่เป็นพ่อคนแล้ว เข้าสู่วัยกลางคนแล้ว) ส่วนลึกของผมก็ยังรู้สึกสนุกครับ ส่วนหนึ่งก็คงเพราะมันไปสะกิดทักทายตัวตนสมัยวัยรุ่นที่ยังคงอยู่ที่ไหนสักแห่งในตัวผม ดูแล้วทำให้นึกถึงวันเก่าๆ นึกถึงสมัยเรายังเป็นวัยรุ่น แล้วก็ตระหนักว่าตอนนั้นเราก็ผจญภัยอะไรหลายอย่างเหมือนกัน และสิ่งที่เราผจญมานั้นก็จะทำให้เราเติบโตขึ้น (แต่จะโตมากหรือน้อยก็ขึ้นกับว่าเราเปิดใจรับรู้/เรียนรู้จากมันมากน้อยแค่ไหน)
ถือได้ว่าผมรู้สึกสนุกคนละแบบตามแต่ช่วงวัยน่ะครับ ตอนเป็นวัยรุ่นดูแล้วก็สนุกในฐานะวัยรุ่น ส่วนตอนโตแล้วพอมาดูก็สนุกในเชิงระลึกย้อนอดีต แต่ถ้าถามว่าหนังสนุกมากๆ หรือไม่ ก็ตอบได้ว่ายังไม่มากแบบสุดๆ มันยังมีหนังแนวเจาะเวลาหรือแนวผจญภัยทะลุมิติอีกหลายเรื่องที่ทำได้ครบเครื่องกว่านี้
และถ้าจะว่าไปแล้ว ในแง่สาระของหนังก็ถือว่ายังไม่เยอะครับ อย่างการเจาะเวลาไปพาคนดังในอดีตมานั้น จริงๆ ถ้าเขียนบทดีๆ ล่ะก็ หนังสามารถเปิดโอกาสให้คนดังในอดีตทั้งหลายนั้นมาช่วยยกระดับความคิดของบิลลืกับเท็ด ไม่ว่าจะเอาประสบการณ์มาสอน เอาบาดแผลที่พวกเขาเจอมาแบ่งปัน ซึ่งแบบนั้นคงจะทำให้หนังมีความลึกซึ้งอย่างมากทีเดียว แต่ก็พอเข้าใจน่ะครับว่าสมัยนั้นบทหนังเขาจะไม่ค่อยลงลึกในประเด็นเหล่านี้ และอาจเพราะทิศทางของหนังเน้นเป็นหนังตลกวัยรุ่น ก็เลยทำให้เนื้อหาจะไม่หนักสักเท่าไร
ดังนั้นถ้าใครคาดหวังสาระหรือความจริงจังในเชิงเนื้อหาก็คงไม่สนุกกับเรื่องนี้ครับ แต่หากใครชอบหนังวัยรุ่นผจญภัยแบบไปเรื่อยๆ (ไม่เน้นสาระ) หรืออยากเห็น Keanu Reeves ตอนยังละอ่อน ก็น่าจะเพลินกับหนังเรื่องนี้
จุดที่จัดว่าเด่นจริงๆ ของหนังนั้น ผมว่าอยู่ที่คาแรคเตอร์ของบิลล์กับเท็ดน่ะครับ พวกเขามีสไตล์ในแบบของตัวเอง ดูมีความต๊องและไร้สาระ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ถึงกับไร้สติ เพราะเราจะเห็นได้ในหลายวาระเลยว่าจริงๆ พวกเขาฉลาดครับ พอถึงเวลาที่จะต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า พวกเขาก็จะหาวิธีจนได้ บางอย่างนี่เรียกได้ว่าเป็นการคิดนอกกรอบเลยล่ะ
ก็ต้องชม Winter กับ Reeves ล่ะครับ ถือว่าพวกเขาทำได้ดีนะ ทำให้บิลล์กับเท็ดดูมีชีวิตชีวา ต๊องๆ ขำๆ แต่ไม่โง่ และแรกเริ่มเดิมทีนั้น พวกเขามาแคสบทของอีกคนนะครับ คือ Winter (ที่เล่นเป็นบิลล์) มาแคสบทเป็นเท็ด ส่วน Reeves (ที่เล่นเป็นเท็ด) มาแคสบทเป็นบิลล์ครับ ทีนี้พอแคสไปสักพักทีมงานก็รู้สึกว่าคาแรคเตอร์ของพวกเขาเหมาะจะแสดงเป็นอีกคนมากกว่า เลยจับมาสลับบทกัน แล้วก็ได้ผลลัพธ์แบบที่เห็นนี่แหละครับ
เกร็ดอีกอย่างหนึ่งก็คือตอนแรกยานพาหนะที่จะใช้ในการเจาะเวลานั้นคือรถตู้เชฟวี่ครับ แต่ทีนี้ทีมงานเห็นว่ามันจะไปคล้ายกับ Back to the Future มากเกินไป เลยเปลี่ยนไปใช้ตู้โทรศัพท์แทน แต่จริงๆ แล้วตู้โทรศัพท์ที่เจาะเวลาได้นั้นมีคนใช้แล้วครับ ใช้มาตั้งนานแล้วด้วย ก็จากซีรี่ส์ Doctor Who ไงครับ (และทีมเขียนบทก็มาบอกในภายหลังครับ ว่าพวกเขาไม่มีใครรู้จัก Doctor Who เลยสักคน เลยไม่รู้ในประเด็นนี้ครับ)
พูดก็พูดนะครับ ว่าผมไม่ได้ปลาบปลื้มหนังเรื่องนี้ถึงขนาดขึ้นหิ้ง แต่หนังเรื่องนี้มันมีความหมายในฐานะส่วนหนึ่งของหนังไซไฟเบาสมองที่ขำๆ เพี้ยนๆ และน่าจดจำเมื่อตอนเราเป็นวัยรุ่น แล้วไหนจะตัว Reeves อีก ที่ในเวลานั้นเขาเองก็คงไม่นึกล่ะครับว่าเขาจะได้กลายมาเป็นตำนานและเป็นดาราที่คนทั้งโลกจดจำได้แบบทุกวันนี้ เลยทำให้การย้อนไปดูหนังที่เขาเคยแสดง ย้อนไปดูช่วงเวลาแรกๆ ของเขาในโลกภาพยนตร์ มันก็ให้ความรู้สึกที่น่าสนใจดีเหมือนกัน
และแม้ว่าตัวหนังจะไม่ได้เน้นประเด็นสาระอะไรมากมาย แต่สำหรับผมแล้ว พอได้ดูมันก็ทำให้นึกถึงสาระหลายๆ อย่างครับ อย่างการหันไปย้อนมองและเรียนรู้จากคนในประวัติศาสตร์ ซึ่งเราสามารถเรียนรู้ได้ทั้งในเชิงปรากฏการณ์ (ว่ามันเกิดเหตุอะไรขึ้น และเกิดเพราะอะไร และมันส่งผลอย่างไรในเวลาต่อๆ มา) หรือถอดบทเรียนจากเรื่องราวของบุคคลในประวัติศาสตร์เพื่อเรียนรู้เรื่องกระบวนการคิด เรียนรู้ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน อะไรเหล่านี้จะสามารถให้บางสิ่งกับเราได้… มันอาจทำให้เราเติบโต มันอาจทำให้เราเปิดโลก มันอาจทำให้เรามองอะไรได้รอบด้านและหลากมุมมากขึ้น
หนังกำกับโดย Stephen Herek ซึ่งนีถ่ือเป็นงานชิ้นที่ 2 ของเขาครับ ชิ้นแรกเลยคือหนังสยองแนวสัตว์ประหลาดเรื่อง Critters (กลิ้ง งับ งับ) ซึ่งกับเรื่องนี้ก็ถือว่าน่าพอใจครับ อาจจะยังไม่มีจุดเด่นที่ชัดเจน แต่ก็ดูได้เรื่อยๆ เพลินๆ (ผมว่าจุดเด่นจริงๆ ของหนังเรื่องนี้อยู่ที่คาแรคเตอร์ของบิลล์กับเท็ดเป็นหลักนั่นแหละครับ)
ตัวหนังถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีครับ ลงทุนประมาณ $10 ล้าน ได้คืนมา $40 ล้าน กำไรสวยงามทีเดียว จนก่อให้เกิดภาคต่อตามมา และมีแฟนๆ ชื่นชอบหนังเรื่องนี้ตอนที่มันออกวีดีโออีกเยอะด้วยครับ
ถิือเป็นหนังวัยรุ่นไซไฟยุค 90 อีกเรื่องที่น่าลองลิ้มครับ บางคนอาจจะชอบมาก บางคนอาจจะชอบน้อย หรือบางคนอาจจะเฉยๆ ซึ่งก็ยากที่จะรู้ได้ว่าเราจะชอบหรือไม่ หากไม่ได้ลองดูสักครั้งคราครับ
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)