A Boy Called Christmas เล่าเรื่องราวของหนุ่มน้อยนิโคลัส (Henry Lawfull) กับการออกเดินทางฝ่าป่าเขาลุยหิมะไปตามหาพ่อ (Michiel Huisman) ที่เงียบหายไปหลังรับภารกิจหาหมู่บ้านภูตเอลฟ์ที่ชื่อว่า เอลฟ์เฮล์ม แล้วนั่นล่ะครับคือจุดเริ่มต้นของการผจญภัยแห่งคริสต์มาส
ผมโอเคกับเนื้อเรื่องครับ มีกลิ่นอายความเป็นแฟนตาซีผสมอยู่ ถือเป็นหนังผจญภัยวันคริสต์มาสที่น่าสนใจเรื่องหนึ่ง แต่ขณะเดียวกันก็ต้องขอว่าตามใจคิด ว่าการเล่าเรื่องออกจะเรื่อยๆ ไปสักหน่อยครับ ยังไม่เพลินเท่าที่ควร
โดยส่วนตัวผมว่าความน่าติดตามของหนังสักเรื่องหนึ่งนั้น มันจะประกอบไปด้วย 3 สิ่งใหญ่ๆ อันได้แก่ ดาราดี บทดี และการเล่าเรื่องดี ซึ่งกับเรื่องนี้ตัวละครหลักอย่าง Lawfull ที่เป็นดาราหน้าใหม่เพิ่งเล่นหนังใหญ่แบบนี้เป็นครั้งแรก (ก่อนหน้านี้เขาเคยแสดงบทเล็กๆ ในมินิซีรี่ส์ Les Miserables มาเพียงเรื่องเดียวครับ) ถ้าถามว่าถึงขั้นจับตาจับใจแบบสุดๆ เลยไหม ก็คงต้องบอกว่ายังไม่ขนาดนั้นครับ แต่ก็ถือว่าเล่นได้ดีในระดับหนึ่ง และส่วนหนึ่งหนังก็ได้ดาราสมทบมืออาชีพอย่าง Maggie Smith, Jim Broadbent, Kristen Wiig, Toby Jones, Sally Hawkins และ Huisman มาช่วยเสริมก็เลยทำให้พลังดาราถือว่าพอมี แต่กระนั้นก็ยังไม่สุด ซึ่งจะเพราะอะไรนั้นเดี๋ยวมาว่ากันอีกที
ในแง่เนื้อเรื่องนั้นหนังมีพล็อตที่น่าสนใจดีครับ มีการผจญภัย มีผสมดราม่าปนลงไป เรียกว่าก็โอเคอยู่ แต่จุดที่ยังไม่เต็มที่เท่าที่ควรก็คือการเล่าเรื่องครับ พลังยังไม่มากพอ ความน่าติดตามยังไม่เยอะ มันออกแนวเรื่อยๆ ช้าๆ ไม่ได้สนุกแบบจัดๆ สักเท่าไร หรือประเด็นเชิงดราม่าก็ถือว่ามี แต่ก็ไปไม่สุดเช่นกัน แล้วด้วยความที่หนังเป็นแนวแฟนตาซีก็ต้องขอบอกว่าอารมณ์แฟนตาซีในเรื่องยังไม่มากครับ อย่างฉากในหมู่บ้านเอลฟ์ก็ดูธรรมดาจนเหมือนเป็นบ้านตามป่าเขาทั่วไปมากกว่าจะเป็นดินแดนแห่งเวทย์มนต์
จุดนี้ยอมรับว่าเป็นห่วงตั้งแต่ทราบว่า Gil Kenan มารับหน้าที่กำกับ จริงๆ ผลงาน 2 เรื่องแรกเขาจัดว่าดีนะครับ ไม่ว่าจะ Monster House และ City of Ember ก่อนจะมาเสียรังวัดไปกับ Poltergeist ฉบับรีเมคที่ทำออกมาแล้วไม่รู้จะจัดอยู่ในหมวดไหน จะสยองก็ไม่ใช่ จะแฟนตาซีก็ไม่เชิง รู้สึกมันก้ำกึ่งครึ่งกลางยังไงก็ไม่รู้ ในขณะที่เรื่องนี้อย่างที่บอกครับว่าบทน่าสนใจ แต่การเดินเรื่องมันค่อนข้างเรื่อยๆ ไม่ได้เข้มข้นมากพอ ทั้งที่จะว่าไปแล้วนิโคลัสต้องผจญภัยอะไรหลายอย่างอยู่นะครับ แต่มันดูขาดพลัง ขาดสีสัน และยังไม่ถึงรสแฟนตาซีแบบที่ควรจะเป็น
จริงๆ ด้วยสไตล์ของเรื่องแล้วมันทำให้ผมนึกไปถึงหนังแอนิเมชั่นเรื่อง Klaus ครับ เรื่องนั้นก็จับเอาตำนานกำเนิดวันคริสต์มาสมาเป็นประเด็นหมือนกัน แต่เรื่องนั้นเล่าได้น่าสนใจ มีความแหวกแปลกใหม่ และได้อารมณ์แฟนตาซีแบบกำลังดี บวกด้วยดราม่าที่พอเหมาะ ทำให้หนังสนุกและน่าจดจำมากกว่าครับ
อีกอย่างที่รู้สึกก็คือเหตุการณ์ตอนนิโคลัสไปอยู่ในเมืองเอลฟ์น่ะครับ มันดูไม่สุดยังไงก็ไม่รู้ คือเนื้อเรื่องมันจะบอกเล่าประมาณว่าในเมืองเอลฟ์เองก็มีปัญหาภายในอยู่ มีผู้นำที่ใช้อำนาจกดขี่บังคับชาวเมือง ทำให้ชาวเอลฟ์โดนจำกัดเสรีและบั่นทอนความสุขอะไรประมาณนั้น แต่ภาพที่เห็นกับเรื่องที่เล่ามันดูไม่สุด หรืออย่างตอนนิโคลัสโดนล่า (ไม่ว่าจะล่าจากฝั่งเอลฟ์หรือฝั่งมนุษย์) มันก็ยังดูไม่สุดอีกเหมือนกัน อารมณ์เข้มข้นตื่นเต้นชวนลุ้นมันไม่ไหลมาน่ะครับ เลยทำให้รสชาติของหนังยังไม่ค่อยเต็มที่สักเท่าไร
แล้วหากพูดถึงพลังดาราแล้ว ดาราที่มาแสดงน่ะน่าสนใจครับ แต่คาแรคเตอร์ของแต่ละคนก็ยังไม่สุด โดยเฉพาะรายที่มาพร้อมความร้ายก็เหมือนจะร้ายตามบทมากกว่าจะเป็นการแผ่รัศมีร้ายจากภายใน ไปๆ มาๆ ผมว่าคนที่ถือว่าน่าจดจำที่สุดคือ Smith ที่มารับหน้าที่เล่าเรื่องราวนี้ให้หลานๆ ฟัง กับอีกคนก็คือ Huisman ในบทพ่อของนิโคลัสที่เขาดูเป็นชายที่รักลูกและทำเพื่อลูกอย่างแท้จริง หลักๆ จะมี 2 คนนี้ที่ดูพอเหมาะครับ ในขณะที่รายอื่นๆ แม้จะเป็นมืออาชีพ แต่ก็เหมือนว่าบทของพวกเขายังสามารถแสดงอะไรได้มากกว่านี้น่ะครับ พูดง่ายๆ คือพลังดาราของพวกเขาถูกใช้ไม่ใคร่จะคุ้มเท่าไรกับหนังเรื่องนี้
อันนี้่ก็ว่าไปตามที่คิดน่ะนะครับ อย่าเพิ่งเชื่อผมมากเพราะท่านอาจโอเคกับหนังก็ได้ ยังไงก็อยากให้ลองดูก่อนเหมือนกันครับ เพราะจริงๆ หนังถือว่าทำออกมาโอเคในระดับหนึ่ง เพียงแต่รสชาติมันยังไม่กลมกล่อม ความสนุกมันยังไม่มาก และพลังมันยังไม่เยอะ ทั้งที่หนังมีประเด็นให้เล่นหลายอย่างมากๆ แต่บางประเด็นก็ถูกสัมผัสเพียงผิวๆ เท่านั้น ทั้งที่จริงๆ หากจะขยี้ก็น่าจะได้
สรุปก็คือหนังน่าสนใจครับ เพียงแต่การเล่าเรื่องยังพลังไม่มากพอเท่านั้น อ้อ อีกอย่างคือผมรู้สึกว่าดนตรีของ Dario Marianelli ก็ได้อารมณ์แฟนตาซีดีไม่น้อย (ฟังไปก็ชวนให้นึกถึง Harry Potter อยู่เป็นพักๆ ครับ) แต่เสียดายตรงการเล่าเรื่องนี่แหละครับที่ยังไปไม่ถึง
สองดาวกว่าครับ
(6.5/10)