ปีที่ 2 ของซีรี่ส์ที่แตกแขนงมาจาก Buffy the Vampire Slayer กับเรื่องราวของแวมไพร์ผู้มีวิญญาณ นามว่าแองเจิ้ล (David Boreanaz) ซึ่งได้ตั้งบริษัทนักสืบ แองเจิ้ล อินเวสติเกชั่น เพื่อคอยรับทำคดีคนหายและรับหน้าที่ต่อกรกับปีศาจทุกชนิด (ซึ่งไม่ได้มีแต่แวมไพร์ครับ แต่จะมีตัวบ้าอะไรโผล่มาอีกเพียบ)
ผู้ร่วมงานของเขาในภาคนี้ก็ยังคงเป็น คอร์เดเลีย เชส (Charisma Carpenter) ซึ่งภาคนี้เธอจะได้รับพลังหยั่งรู้อนาคตมาด้วย และอีกรายก็คือเวสลี่ย์ วินเดม ไพร์ซ (Alexis Denisof) อดีตผู้ดูแลมือปราบแวมไพร์ที่รู้ดีในเรื่องปีศาจทุกชนิด และพี่แกก็ยังคงพฤติกรรมฮาๆ เช่นเดิมครับ
ตัวละครใหม่ๆ ในปีนี้ก็มี ชาร์ลส กันน์ (J. August Richards) หนุ่มผิวดำที่คอยไล่ล่าพวกแวมไพร์มานานแล้วครับ แต่เพิ่งมาเจ๊อะกับพวกแองเจิ้ล ไปๆ มาๆ พี่แกเลยมาร่วมขบวนการด้วยอีกคนหนึ่ง ซึ่งฝีมือการต่อสู้ของเขาก็ไม่ธรรมดาครับ
และอีกหนึ่งที่ยังไม่ร่วมขบวนแบบเต็มตัวในปีนี้ (แต่ปีต่อๆ ไปพี่แกจะบ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ครับ) ก็คือ ลอร์น (Andy Hallett) ปีศาจตัวเขียวนักอ่านใจ ที่แองเจิ้ลต้องไปขอความช่วยเหลือบ่อยๆ (แล้วก็เอาความเดือดร้อนไปฝากเป็นพักๆ อีกต่างหาก) ซึ่งเสียงเขาดีมากครับ และเป็นสีสันชั้นดีเลยล่ะ
ส่วนเรื่องราวในปีนี้ก็ยังคงเน้นกับการต่อสู้กับบริษัทกฎหมายปีศาจ วูลฟ์แรม แอนด์ ฮาร์ท ที่คราวนี้ก็ยังทำตัวชั่วไม่เลิกรา ซึ่งวายร้าย (แบบทนายๆ) ก็ยังคงเป็น ลินด์เซย์ แม็คโดนัลด์ (Christian Kane) กับ ไลล่าห์ มอร์แกน (Stephanie Romanov) ซึ่งยังคงความเจ้าเล่ห์ได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ตัวละครที่จะมีมิติมากในภาคนี้ก็คือตัวลินด์เซย์นี่แหละ ซึ่งเขาจะเป็นอย่างไรบ้างนั้นต้องลองติดตามครับ
นอกจากเรื่องราวการตีกับวูลฟ์แรม แอนด์ ฮาร์ท แล้ว ก็จะมีอีกอย่าง นั่นคือการมาของดาร์ล่า (Julie Benz) คู่หูแวมไพร์ตั้งแต่อดีตของแองเจิ้ลที่มาทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงกับแองเจิ้ล และความกดดันอีกมากมายจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้ช่วงหลังๆ ของปีนี้ เรื่องราวมันจะหม่นมืดลงไม่น้อยเลยล่ะครับ
เรื่องราวปีนี้จะเล่นกับพัฒนาการของแองเจิ้ลล้วนๆ ไม่ว่าจะเรื่องการปรับตัว การรู้จักยอมผู้อื่นบ้าง รวมไปถึงการต้องปรับตัวเองในการอยู่ร่วมกับคนอื่นด้วย
ปีนี้จึงค่อนข้างอยู่ตัวมากขึ้นครับ และออกจะหม่นมืดหนักขึ้นด้วย ในช่วงกลางๆ นะครับ แต่มาตอนท้ายผมว่ามันเริ่มเบาลงแล้ว (เพราะลอร์นตัวเขียวนี่แหละ) โดยรวมๆ ปีนี้ถือว่าอยู่ตัวครับ เข้าท่ามากขึ้น มีอะไรให้มันส์มากขึ้นโดยเฉพาะช่วงท้ายๆ ที่มีการผจญภัยกันขนานใหญ่พอควร ก็ทำได้น่าติดตามดีครับ
สรุปว่าถ้าชอบปีแรก ก็อย่าพลาดปีสองครับ
สองดาวครึ่งบวกๆ ครับ
(7.5/10)