กะไว้ตั้งแต่ก่อนดูแล้วครับ ว่า Mixtape จะต้องเข้าทางผมแน่นอน แล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ
หนังเล่าเรื่องราวของ เบเวอร์ลี่ มู้ดดี้ (Gemma Brooke Allen) หนูน้อยที่กำพร้าพ่อแม่และอาศัยอยู่กับเกล (Julie Bowen) คุณยายของเธอ แล้วอยู่มาวันหนึ่งเธอก็ค้นพบมิกซ์เทปหรือเทปอัดรวมเพลงของพ่อแม่ ด้วยความที่เธอไม่ค่อยรู้เรื่องของพ่อแม่สักเท่าไร เธอก็เลยกะจะใช้บทเพลงในเทปนี่แหละครับเป็นตัวเชื่อมให้เธออรู้จักพวกเขามากขึ้น แต่ดันเกิดเหตุไม่คาดฝันทำให้เทปพังครับ เธอเลยต้องเอาลิสต์ที่ปกเทปมาไล่หาฟังเอา อันนำไปสู่การผจญภัยเล็กๆ ที่ทำให้เธอได้พบและได้เรียนรู้อะไรมากมาย
หนังน่ารักเข้าทางเลยครับ ออกแนว Feel Good แฝงด้วยความอบอุ่น กรุ่นกลิ่นอายมิตรภาพและความรัก อย่างแรกที่ขอชมเลยคือเหล่าดาราในเรื่องที่แคสมาได้เหมาะมากครับ Allen ไปได้ดีมากๆ กับบทสาวน้อยเบเวอร์ลี่ผู้เต็มไปด้วยความสดใสและใคร่รู้ ตามด้วย Audrey Hsieh ในบทเอลเลน เพื่อนบ้านของเธอที่กลายมาเป็นเพื่อนซี้ไปไหนไปกัน รายนี้ก็เรียกเสียงฮาแบบเนียนๆ ได้ในหลายวาระ พอๆ กับ Olga Petsa เจ้าของบทนิคกี้ สาวเข้มที่ดูน่ากลัวเมื่อแรกเห็น แต่พอพวกเธอได้รู้จักกันมากขึ้น นิคกี้ก็กลายเป็นอีกหนึ่งกำลังใจสำคัญให้กับการเดินทางค้นหาเพลงของเบเวอร์ลี่
อีก 2 รายที่ได้ใจผมไปอย่างมากก็คือ Nick Thune ในบทแอนไท เจ้าของร้านแผ่นเสียงที่ออกแนวรำคาญเบเวอร์ลี่ในตอนแรก แต่ไปๆ มาๆ รายนี้เพิ่มความน่ารักให้กับหนังได้ไม่น้อยครับ โดยเฉพาะช่วงท้ายที่ผมรับรองเลยว่าท่านจะต้องชอบตัวละครนี้ กับอีกคนคือ Julie Bowen สำหรับผมแล้วผมค่อนข้างคุ้นเคย เพราะเธอคือนางเอกในหนังของ Adam Sandler อย่าง Happy Gilmore และล่าสุดก็ Hubie Halloween โดยส่วนตัวผมว่าเธอเล่นหนังได้ดีครับ เพียงแต่ไม่ดังนัก และสำหรับเรื่องนี้ผมว่าเธอได้แสดงอะไรๆ เยอะเลย โดยเฉพาะซีนอารมณ์ประเภทจู่ๆ น้ำตาไหลเป็นสายออกมานี่ ยอมรับเลยว่าเธอทำให้บทคุณยายบทนี้มีความอบอุ่นมากทีเดียว
อาจมีคนคาดหมายว่าหนังจะเป็นแนวค้นหาตัวเอง ประเภทว่าแต่ละบทเพลงในอัลบั้มมิกซ์เทปทำให้เบเวอร์ลี่ค้นพบตัวเองมากขึ้น หรือแต่ละบทเพลงมีความหมายความนัยให้ตีความ ก็ต้องบอกไว้ก่อนครับว่าหนังไม่ได้ลึกถึงขนาดนั้น
หลักๆ คือมิกซ์เทปเป็นเหมือนสิ่งที่ทำให้เบเวอร์ลี่กล้าออกมาผจญภัย กล้าออกมาใช้ชีวิต อันทำให้เธอได้รู้จักตัวเองมากขึ้น รู้จักคุณยายมากขึ้น และได้พบกับมิตรใหม่ๆ ที่มาผลัดกันเติมเต็มบางสิ่งที่ขาดหายให้กับเธอ ซึ่งตัวหนังออกมาสนุกครับ อุดมไปด้วยความสดใส หลายซีนก็ฮาได้แบบเต็มปากเต็มคำ (ผมชอบมุก “แอนน์ ไรซ์” มากครับ ตอนได้ยินนี่ลั่นเลยจริงๆ)
เป็นหนังที่ดูแล้วมีความสุขครับ สนุกไปกับเรื่องราวการเดินทางค้นหาอะไรบางอย่างของสาวน้อยคนหนึ่ง มันสนุกทั้งตัวเรื่อง และสนุกที่ได้เห็นมิตรภาพดีๆ ค่อยๆ ก่อตัว – ได้เห็นตัวละครที่ไม่สนใครไม่สนโลกค่อยๆ หันหน้าไปมอบความปรารถนาดีให้คนอื่น รวมถึงได้เห็นความรักในครอบครัวที่แน่นแฟ้นขึ้น บอกได้เลยครับว่าหนังทำให้ผมยิ้มได้เกือบตลอด และสร้างความสุขให้ผมได้หนึ่งอิ่มใหญ่ๆ เลยล่ะ
แล้วหนังก็ไม่ยาวมากด้วยครับ แค่ชั่วโมงครึ่งนิดๆ เอง ดูได้สบายๆ ดูเพื่อผ่อนคลายก็ได้ ดูเอาความสบายใจก็ดี อ้อ อีกอย่างที่ต้องบอกไว้ก็คือ อย่าคาดหวังกับเพลงมากจนเกินไปนะครับ ประเภทคาดหวังว่าเพลงแต่ละเพลงจะต้องมีความหมายมากๆ เพราะจัดๆ หรือซึ้งสุดๆ โดยส่วนตัวผมรู้สึกว่าหลักๆ แล้ว เพลงสะท้อนถึงห้วงอารมณ์ ณ ขณะนั้นของพ่อแม่ของเบเวอร์ลี่น่ะครับ ซึ่งก็ทำให้เห็นถึงความอิสระที่ไร้กรอบ ความเสรีที่ไร้เกณฑ์ และจิตใจที่เปิดกว้างพร้อมรับการผจญภัยทุกรูปแบบที่กำลังจะเกิดขึ้นกับชีวิตของพวกเขา
เพลงที่มีความหมายสุดผมยกให้เพลง The Wrong Song ครับ ไพเราะและซึ้งมาก ถ่ายทอดความรู้สึกของพ่อแม่เบเวอร์ลี่ได้ดีมากจริงๆ และอีกเพลงก็คือเพลงสุดท้ายของเรื่อง เพลงที่พวกเบเวอร์ลี่เล่นให้คุณยายเกลน่ะครับ เป็นอะไรที่น่ารักมากๆ และเป็นการสรุปจบที่เหมาะอย่างยิ่ง
หนังกำกับโดย Valerie Weiss ผู้กำกับหญิงที่ผ่านงานซีรี่ส์มาหลายแนวครับ ไม่ว่าจะ Chicago P.D., The Librarians, Scandal, Suits และ How to Get Away with Murder สำหรับเรื่องนี้ผมถือว่าเป็นผลงานที่อยู่ในข่ายดีเลยล่ะครับ สนุกและชวนดูซ้ำอย่างมาก ส่วนคนเขียนบทนั้นคือ Stacey Menear ซึ่งผลงานก่อนหน้าของเธอคือหนังลึกลับเรื่อง The Boy ทั้ง 2 ภาคน่ะครับ เรื่องนี้เลยถือว่าเธอพลิกแนวมาเขียนแนวใส ซึ่งก็บอกได้เลยว่าผมชอบครับ
สรุปว่าหนังทำออกมาน่ารักกำลังดีครับ ใครอยาก Feel Good, ใครอยากยิ้ม หรือใครอยากดูหนังที่กระตุ้นเร้าให้เราอยาก Connecting with People ล่ะก็ เรื่องนี้เลยครับ
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)