ผมดู Last Holiday เมื่อ 10 กว่าปีก่อนครับ จำได้ว่าเช่าแผ่นมาดูแล้วก็ชอบพอสมควรทีเดียว ครั้นพอเวลาผ่านไปเมื่อมีโอกาสก็เลยอยากดูอีกสักรอบ และความชอบก็ไม่ได้ลดลงไปเลยครับ
หนังเล่าถึงชีวิตของจอร์เจีย เบิร์ด (Queen Latifah) พนักงานสาวประจำห้างขี้อายที่ต้องมาพบว่าตนเองเป็นโรคร้ายและจะอยู่ได้อีกไม่กี่สัปดาห์ เธอเลยตัดสินใจใช้ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตให้คุ้มโดยการทำตามความฝันไปพักผ่อนที่โรงแรมหรู ไปทานอาหารดีๆ ไปทำในสิ่งที่เธอไม่เคยได้ทำ
ความรู้สึกที่ผมมีต่อหนังทั้งตอนดูรอบแรกกับรอบล่าสุดยังคงเหมือนเดิมครับ นั่นคือช่วงต้นๆ หนังค่อนข้างจะเรื่อยๆ สักหน่อย มีช่วงอืดช้าจนพาให้แอบเบื่ออยู่บ้าง แต่หนังจะมาน่าสนใจขึ้นตอนที่จอร์เจียเดินทางไปยังโรงแรมน่ะครับ เธอทำในสิ่งที่อยากทำ พูดในสิ่งที่อยากพูด อันทำให้คาแรคเตอร์ของเธอเริ่มจะเด่นขึ้นมา และยิ่งช่วงท้ายๆ นี่จะมีซีนอารมณ์อยู่หลายช่วง อันทำให้หนังมีความกินใจและฟีลกู้ดอยู่ในส่วนผสมมากขึ้นกว่าครึ่งแรก
ดังนั้นตอนต้นๆ อาจต้องทนนิดนึงครับ มันอาจเรื่อยไปสำหรับบางท่าน ก็อยากให้รอสักนิดครับ ถ้าอยากได้อะไรที่มันฟีลกู้ดและรู้สึกดีล่ะก็ มันมีรอท่านอยู่ในช่วงหลังๆ ครับ
การดูรอบหลังนี่ทำให้ตระหนักครับว่าหนังไม่ได้ออกแนวตลก ไม่ได้เน้นโปกฮา และไม่ได้มาพร้อมตัวละครล้นๆ โดยหลักมันคือหนังดราม่าที่มีความจริงจังพอตัว เพียงแต่โทนมันจะออกเบาๆ ครับ ดังนั้นตัวหนังเลยไม่ได้หวือหวาอะไร ลูกเล่นก็ไม่ค่อยมี นั่นก็เลยทำให้ตอนต้นมันดูเรื่อยๆ หรือตัวจอร์เจียเองก็ไม่ได้มีสีสันอะไรมาก ซึ่งถ้าใครคุ้นเคยกับ Latifah ก็อาจจะรู้สึกขัดๆ น่ะนะครับ เพราะปกติตัวละครของเธอมักจะเปี่ยมสีสัน ลีลามากท่ายากเยอะ ครั้นพอมาเป็นตัวละครเชิงดราม่าเบาๆ แบบนี้ก็เลยอาจจะดูแปลกตาอยู่บ้าง – แต่ในแง่การแสดงแล้ว เธอทำได้ดีครับ โดยเฉพาะซีนอารมณ์ต่างๆ
ดาราสมทบก็เลือกมาได้ดีครับ Timothy Hutton ดูเหมาะมากกับบทแมทธิว คราเกนนักธุรกิจที่เห็นแก่ตัว, Alicia Witt ในบทมิสเบิร์นส์ กิ๊กของแมทธิวที่พอได้รับการสอนแง่คิดชีวิตจากจอร์เจียแล้ว เธอก็เริ่มคิดได้, Gérard Depardieu ในบทเชฟที่จอร์เจียอยากลองลิ้มฝีมือของเขามานาน ซึ่งยอมรับเลยครับว่า Depardieu รับส่งพลังกับ Latifah ได้ดีมาก เขาดูมีความอบอุ่นและปรารถนาดีอย่างจริงใจ
อีกคนที่ถือว่าขโมยซีนไปไม่น้อยคือ Susan Kellermann ในบทกันเธอร์ ผู้ดูแลส่วนตัวของจอร์เจีย (เป็นเหมือนบริการเสริมของโรงแรมน่ะครับ เนื่องจากจอร์เจียพักห้องสุดหรู เลยจะมีผู้ดูแลส่วนตัวมาคอยรับใช้) รายนี้ตอนแรกก็อาจจะดูร้ายอยู่บ้าง แต่ตอนหลังๆ นี่เธอกลายเป็นตัวละครที่เพิ่มความอบอุ่นให้กับเรื่องราวได้อย่างคาดไม่ถึงทีเดียว และอีกคนก็ LL Cool J เป็น ฌอน วิลเลี่ยมส์ ชายที่จอร์เจียแอบชอบ รายนี้ไม่ค่อยได้ทำอะไรสักเท่าไรครับ และบทดูจะน้อยกว่าที่คิดด้วย
ของดีอย่างยิ่งของหนังคือภาพบรรยากาศครับ สวยงามมาก โดยหนังไปถ่ายทำกันที่ Pupp Hotel ในเมืองคาโลวี วารี (Karlovy Vary) สาธารณรัฐเช็ก ทำให้หนังได้บรรยากาศดีๆ ภาพงามๆ มาเสริมอารมณ์ให้กับหนัง แล้วยังได้ดนตรีดีๆ ของ George Fenton (Groundhog Day) อีก ท่วงทำนองของดนตรีเขาจัดว่าสอดรับกับโทนหนังได้เป็นอย่างดีครับ
หนังกำกับโดย Wayne Wang แห่ง The Joy Luck Club และ Maid in Manhattan ซึ่งสำหรับเรื่องนี้ก็ถือว่าน่าพอใจครับ เพียงแต่อาจยังไม่ถึงขั้นกลมกล่อมเต็มที่ มีช่วงช้าๆ บ้างในตอนต้น และประเด็นสาระสำคัญของเรื่องก็ยังไม่ได้รับการขยี้แบบเต็มๆ หนังเลยออกมาโอเคครับ มีแง่คิดให้เก็บไปไตร่ตรอง แต่ก็ถือว่ายังดีได้อีกครับ
หนังเรื่องนี้รีเมคมาจากหนังชื่อเดียวกันในปี 1950 โดยเรื่องนั้นตัวเอกแสดงโดย Alec Guinness (เจ้าของบทโอบิวัน เคนโนบีใน Star Wars ภาค A New Hope น่ะครับ) แล้วมีอยู่ช่วงหนึ่งที่มีคนกะเอาหนังมารีเมคใหม่ โดยจะให้ John Candy แสดง แต่เนื่องจาก Candy เสียชีวิตไปเสียก่อน โครงการหนังเลยถูกวางไว้บนหิ้งครับ
หลังจากวางบนหิ้งให้ฝุ่นจับอยู่หลายปี ก็พอดีที่เอเยนต์ส่วนตัวของ Latifah ไปเห็นบทหนังเรื่องนี้เข้า ก็เลยนำมาให้ Latifah ลองพิจารณา แล้วเธอก็สนใจครับ เลยมีการปรับบทให้ตัวเอกเป็นผู้หญิง แล้วผลก็ออกมาเป็นหนังเรื่องนี้ครับ
แง่คิดใหญ่ใจความของหนังก็คือการใช้เวลาให้คุ้มค่าครับ อย่ามัวผัดวันประกันพรุ่งกับชีวิต เพราะคุณไม่รู้หรอกว่าวันสุดท้ายของเราน่ะจะมาเมื่อไร ดังนั้นหากอยากทำอะไรก็ควรรีบทำ อย่าเอาแต่รอ อย่าเอาแค่เดี๋ยว (ที่บอกนี่หมายถึงสิ่งที่ทำแล้วไม่เดือดร้อนใครน่ะนะครับ)
อีกประโยคที่ผมชอบในหนังก็คือ “ไม่สำคัญว่าเริ่มอย่างไร แต่สำคัญตรงที่มันจบอย่างไรต่างหาก” คนบางคนอาจมีจุดเริ่มในชีวิตที่ไม่ดีนัก ครอบครัวอาจมีปัญหา ฐานะอาจลำบาก แต่ก็ไม่เป็นไรครับ เราเลือกจุดเริ่มไม่ได้ แต่เราพอจะเลือกก้าวต่อไปได้ พอจะเลือกเดินไปยังจุดหมายได้ จะถึงหรือไม่ถึงว่าค่อยว่ากันอีกที
เราต้องกล้าเปลี่ยน กล้าเดิน กล้าลอง กล้าทำครับ และแม้สุดท้ายเราอาจไปไม่ถึงฝั่งฝัน แต่อย่างน้อยเราก็จะมาได้ไกลจากจุดเริ่มต้น
เป็นหนัง Feel Good ที่น่าดูอีกเรื่องครับ
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)