The Hand of God Netflix รีวิว ภาพยนตร์อิตาลี ที่กวาดรางวัลในงานที่เวนิซ เป็นหนังวิพากษ์พระเจ้าและความเชื่อในศาสนาโดยใช้เรื่องราวของเด็กหนุ่มที่เคยได้รับแรงบันดาลใจจากการมาร่วมทีมนาโปลีของ ดีเอโก้ มาราโดน่า มาเป็นตัวแทน
ที่จริงแล้วหนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังที่เล่นประเด็นเรื่องฟุตบอลโดยตรง แต่เป็นหนังที่ค่อนข้างจิกกัดพระเจ้า ศาสนา ลัทธิความเชื่อ คอมมิวนิสต์ ไปจนถึงสังคมอิตาลี โดยบอกเล่าว่าแม้ตัวเอกของเรื่องจะได้รับแรงบันดาลใจจากการมาของมาราโดน่าสู่ทีมฟุตบอลนาโปลี แล้วได้สร้างตำนานความยิ่งใหญ่ให้เมืองเนเปิลส์ แต่แล้วสิ่งต่างๆมากมายที่เกิดขึ้นรอบตัวเขาและครอบครัวมันก็ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น หนังได้เล่าประเด็นที่ท้าทายความเชื่อและศรัทธาต่อมาราโดน่าในฐานะพระเจ้า ทำให้หนังเรื่องนี้เสมือนเป็นการจิกกัดศาสนา การเมือง สังคม โดยเอาฉายาของมาราโดน่ามาใช้เป็นตัวเรียกแขกให้หนังนั่นเอง ซึ่งถ้าดูรอบแรกอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจสารที่หนังต้องการสื่อ แต่ถ้าลองหยุดแล้วฉุกคิดดีๆเราอาจจะเข้าใจประเด็นที่หนังต้องการเสียดสีมากขึ้น
ส่วนการใช้ชื่อเรื่องแบบนี้เลยทำให้ทนายความของฝ่ายมาราโดน่าได้เคยฟ้องร้องมาแล้วในปี 2020 ด้วยข้อหาที่นำชื่อที่เกี่ยวข้องกับมาราโดน่าไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ทางทีมสร้างและ Netflix ได้ตอบโต้ด้วยการโต้แย้งประเด็นนี้ว่า นี่ไม่ใช่หนังที่เกี่ยวกับเรื่องของมาราโดน่าเลย แต่เป็นหนังชีวิตเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งเมื่อเราได้ดูแล้วก็จะได้พบว่าแทบไม่ได้เกี่ยวอะไรกับมาราโดน่าเลย แม้จะมีฟุตเทจนัดที่มาราโดน่าแข่งขังในฟุตบอลโลกเข้ามาในหนัง แต่ก็เป็นการแข่งขันที่เราสามารถหาดูได้ตามยูทูปทั่วไป
ตัวหนังได้เข้าฉายในงานที่เวนิซ และฉายแบบจำกัดโรง ก่อนจะเข้าฉายพร้อมกันทั่วโลกใน Netflix ความยาว 2.10 ชม. ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลในหลายเทศกาล และในงานที่เวนิซก็คว้ารางวัลใหญ่มาได้ถึงสี่สาขา ได้แก่
- นักแสดงเด็กยอดเยี่ยม
- ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
- นักแสดงหญิงยอดเยี่ยม
- Grand Jury Prize
แล้วเรื่องนี้ยังเป็นได้ตัวแทนของภาพยนตร์จากอิตาลีที่ถูกเสนอชื่อชิงรางวัล Golden Award และ รางวัล Oscar ในปีนี้อีกด้วย ต้องมาลุ้นกันว่าจะทำได้ดีขนาดไหน
สามารถรับชมได้เลยใน Netflix ครับ
ตัวอย่าง The Hand of God Trailer
The Hand of God เรื่องย่อ
เรื่องราวเป็นหนังดราม่าสไตล์อิตาเลียนแบบเต็มขั้น ที่บอกเล่าชีวิตของ ฟาบีเอโต สคิซ่า เด็กหนุ่มในครอบครัวธรรมดาที่อยู่ในสังคมอิตาลีทางตอนใต้ ในช่วงกลางถึงปลายยุค 80s ซึ่งจัดว่าเป็นเมืองที่ค่อนข้างยากจน แต่ก็เป็นเมืองติดชายทะเลที่มีเสน่ห์ดึงดูดอย่างแปลกประหลาด ซึ่งในเรื่องนั้นเมืองแห่งนี้ไม่ได้มีสิ่งเชิดหน้าชูตาอะไรมากนัก
กระทั่งข่าวลือถึงการมาของ ดีเอโก้ มาราโดน่า สุดยอดนักฟุตบอลชาวอาร์เจนตินาที่เล่นให้กับทีมยักษ์ใหญ่อย่างบาร์เซโลกน่าในสเปน แล้วอาจจะย้ายมาอยู่กับทีมเล็กๆ ที่ไม่เคยมีประวัติศาสตร์การคว้าแชมป์ลีกมาก่อนเลยอย่างนาโปลี แล้วฟาบีเอโตก็ได้ร่วมเป็นสักขีพยานในการมาของมาราโดน่า แล้วก็ได้พบว่าการมาของสุดยอดนักฟุตบอลผู้นี้มีส่วนเล็กๆ ในการช่วยเป็นแรงบันดาลใจและประคับประคองให้เขาสามารถใช้ชีวิตวัยรุ่นที่เต็มไปด้วยปัญหาให้ผ่านพ้นมาได้ หรือแม้แต่บางอย่างเองก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับมาราโดน่าผู้ที่สร้างตำนาน The Hand of God ในฟุตบอลโลก 1986 เลยก็ตามที รวมถึงความหลงใหลส่วนตัวที่เขามีต่อ แพทริเซีย น้าสะใภ้แสนสวยสุดเซ็กซี่ที่เขาแอบหลงมาตลอด ที่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยประคองจิตใจของเขาให้ผ่านช่วงลำบากของวัยรุ่นมาได้
เรื่องราวอื่นที่น่าสนใจ
รีวิว Swarm อเมริกันไซโคเด็กสาวผิวดำ Gen Z (ไม่สปอยล์)
รีวิว Carnival Row SS2 ไฟนอลซีซั่นที่คงคุณภาพงานทุกอย่างไว้ได้เป็นอย่างดี (ไม่มีสปอยล์)
The Hand of God รีวิว
ถ้าใครจะดูหนังเรื่องนี้เพราะคาดหวังว่าจะได้ดูอะไรที่เกี่ยวข้องกับ ดีเอโก มาราโดน่า คงต้องผิดหวังครับ เพราะหนังทั้งเรื่องไม่ได้เกี่ยวข้องกับมาราโดน่าโดยตรงเลย แต่มันเป็นลักษณะของเรื่องราวช่วงหนึ่งของ ฟาบีเอโต เด็กหนุ่มวัยรุ่นที่กำลังเผชิญปัญหามากมายทั้งความขัดแย้งในครอบครัว ญาติพี่น้อง เส้นทางชีวิต และอื่นๆ
เนื่องจากเป็นหนังแนวดราม่าชีวิต ดังนั้นสิ่งที่จะได้รับชมก็คือ เรื่องราวความดราม่าในครอบครัวของ ฟาบีเอโต ความสัมพันธ์ที่มีกับญาติพี่น้องทั้งหลาย รวมถึงปัญหาครอบครัว ซึ่งก็เป็นปัญหาที่เราสามารถพบเจอได้ในครอบครัวทั่วไป แต่หนังจะพยายามนำเสนอว่า แล้วเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ต้องเจอปัญหาครอบครัวหนักๆมา เขาจะรับมือมันได้อย่างไร โดยในเรื่องช่วงแรกก็จะเล่าว่า การมาถึงของ มาราโดน่า สุดยอดนักฟุตบอลผู้ซึ่งเป็นเสมือนเทพเจ้าของวงการฟุตบอลผู้เก่งกาจที่สุดในโลก ที่ได้ย้ายทีมมาอยู่กับทีมนาโปลีแห่งเมืองเนเปิ้ลส์ ซึ่งเป็นเมืองที่เด็กหนุ่มอาศัยอยู่แล้วเรื่องราวดำเนินอยู่นั้น มันมีส่วนช่วยด้านจิตใจและทำให้เขาผ่านอุปสรรคในช่วงวัยรุ่นและปัญหาครอบครัวไปได้อย่างไรบ้าง
ก่อนอื่นต้องขอชื่นชมนักแสดงหลักของเรื่องที่นำแสดงโดย Filippo Scotti นักแสดงหนุ่มชาวอิตาลี ซึ่งทำได้ดีมากกับบท ฟาบีเอโต้ เด็กหนุ่มวัยรุ่นผู้คลั่งไคล้ฟุตบอลและก็มีความสนใจในเรื่องเพศ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นวัยรุ่นที่อยู่ในช่วงแสวงหาตัวตน ซึ่งเขาแสดงออกมาได้ดีมาก คู่ควรกับการคว้ารางวัลนักแสดงเด็กยอดเยี่ยมจากเรื่องนี้ ทั้งที่ตัวบทหนัง การตัดต่อ การเล่าเรื่อง ค่อนข้างจะดูแล้วสับสนมึนงงอยู่บ้างกับประเด็นที่หนังอยากนำเสนอ แต่นักแสดงกลับทำให้เราอยากติดตามดูเส้นทางชีวิตของเขาในช่วงวัยรุ่น ว่าจะมาเกี่ยวพันกับการมาของมาราโดน่ายังไง หรือว่าการมาของมาราโดน่าส่งผลกระทบอะไรต่อชีวิตเขาบ้าง
หนังดำเนินเรื่องช่วง 30 นาทีแรก คล้ายกับหนังแนวแรงบันดาลใจตามสูตร แต่ยิ่งเดินเรื่องไป ก็จะยิ่งพบว่ามันมีความแตกต่างไปจากหนังตามสูตรดราม่าชีวิตวัยรุ่นที่ผูกกับคนดังทั่วไป เพราะกลายเป็นว่า มาราโดน่า แทบจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับชีวิตของเขาเลย ซึ่งยิ่งเรื่องราวผ่านไปตัวเขาเองก็รู้ ตรงนี้จึงเป็นเสมือนการจิกกัดความศรัทธาที่มีต่อมาราโดน่าของชาวเนเปิ้ลไปในตัวด้วยว่าการบูชาเขาประดุจเทพเจ้าที่มาปรากฏกายแล้วช่วยพาสโมสรประสบความสำเร็จนั้นเป็นเรื่องที่ควรยกย่องและเป็นหนึ่งในสุดยอดแห่งหน้าประวัติศาสตร์วงการฟุตบอลและวงการกีฬา แล้วก็เป็นแรงบันดาลใจที่สุดยอดให้ผู้คนทั่วโลกก็จริง แต่เอาเข้าจริงแล้วมันก็เป็นเพียงฟุตบอล ที่อาจจะเหมือนเป็นศาสนาหนึ่งๆ ที่ต่อให้บูชาพระเจ้าไปมากมายขนาดไหน บางทีพระเจ้าก็ไม่ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเรา แต่สิ่งต่างๆมันจะเกิดขึ้นมาเอง แล้วเราก็ต้องหาทางฝ่าฝันให้ไ้ด้เอง
หนังยังแฝงแง่มุมและสัญลักษณ์บางอย่างที่ต้องการจิกกัดคริสต์ศาสนา ไม่ว่าจะเป็นการใส่บทของตัวละครเด็กนักบุญที่มีข่าวลือว่าสามารถทำให้ผู้หญิงตั้งท้องได้เพียงแค่ได้รับจุมพิตหน้าผากเท่านั้น ซึ่งในหนังใส่เรื่องนี้เข้ามาจนดูเหมือนเป็นกึ่งปาฏิหาริย์ แต่ก็อาจเป็นความจงใจของผู้สร้างก็เป็นได้ที่ต้องการสะท้อนสังคมชาวอิตาลีในยุค 80s โดยเฉพาะชาวอิตาลีตอนใต้ ที่ชีวิตยังมีการผูกโยงอยู่กับสิ่งเหนือจริงปนเรื่องจริง เทคนิคนี้คล้ายกับแนวทางแบบ สัจนิยมมหัศจรรย์ (Magical Realism) ซึ่งงานวรรณกรรมระดับโลกและภาพยนตร์หลายเรื่องชอบนำมาใช้กัน อีกทั้งหนังยังมีการวิพากษ์ลัทธิคอมมิวนิสต์แบบตลกร้าย ซึ่งยุคนั้นเป็นช่วงเวลาที่ลัทธิคอมมิวนิสต์เฟื่องฟูในยุโรปและละตินอเมริกา การมาของมาราโดน่า สู่ทีมนาโปลี ยังมีนัยยะที่แฝงไว้ซึ่งการต่อสู้ทางชนชั้น การลุกขึ้นมาปฏิวัติ ที่หนังพยายามนำเสนอผ่านปากตัวละครญาติอาวุโสของตัวเอกที่มีความอินกับเรื่องพวกนี้
เมื่อมาราโดน่าถูกผูกสถานะเข้ากับการเป็น “พระเจ้า” และตัวแทนของ “นักปฏิวัติชนชั้น” มันเลยทำให้ทุกอย่างที่มาราโดน่าเคลื่อนไหว สร้างผลงานในสนามที่ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนอกสนาม หรือต่อให้เขาไม่ทำอะไรเลยก็ตาม แฟนฟุตบอลของนาโปลีและชาวเมืองต่างก็พร้อมที่จะผูกโยงทุกอย่างในชีวิตเข้ากับมาราโดน่าซะอย่างนั้น ซึ่งนี่ก็ถือเป็นเรื่องตลกร้ายที่ตัวเอกหนุ่มของเรื่องได้เผชิญอยู่ โดยในตอนแรกเขาก็อินไปกับมัน แต่พอเขาได้พบความสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิตอย่างไม่ทันตั้งตัวมาก่อน แล้วญาติผู้ใหญ่พยายามบอกว่าการที่เขารอดชีวิตมาได้เป็นเพราะ มาราโดน่า หลังจากนั้นเป็นต้นมาตัวเอกของเราก็เริ่มลดความอินเข้าไส้ในเกมฟุตบอลและในมาราโดน่าลงมาเรื่อยๆ คือถึงแม้ว่าจะเข้าใจว่าทำไมผู้คนคลั่งไคล้ เข้าใจความเก่งกาจของมาราโดน่า แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าจะต้องบูชาเป็นเทพเจ้าแล้วเอามาโยงกับทุกเรื่องอีกแล้ว
นี่จึงเป็นภาพยนตร์ที่ หากลองย้อนกลับมาดูรอบที่ 2-3 เราอาจจะรู้สึกว่ามันกำลังต้องการวิพากษ์ลัทธิความเชื่อที่มีต่อบุคคลผู้หนึ่งอย่างแรงกล้าว่าหากชื่นชอบพอประมาณมันก็เป็นแรงบันดาลใจที่ดี แต่ถ้ามากเกินไปมันอาจจะเป็นเรื่องงมงายจนเรามืดบอดไปกับทุกอย่าง แล้วบางทีการที่จะหลุดพ้นนั้น เราก็ต้องเดินหน้าออกมาจากมันซะบ้าง ซึ่งหนังก็อาจจะไม่ได้ต้องการจิกกัดหรือท้าทายความเชื่อที่มีต่อมาราโดน่าของแฟนนาโปลีมากนัก แต่ต้องการใช้ตัวมาราโดน่าเป็นตัวแทนของพระเจ้าที่ควรถูกวิพากษ์ซะมากกว่า
สปอย
สปอย
ส่วนจุดขายในฉายาหัตถ์พระเจ้าของมาราโดน่า ก็จะมีการนำฟุตเทจภาพไฮไลท์การแข่งขันนัดประวัติศาสตร์ที่อาร์เจนตินาเจอกับอังกฤษในฟุตบอลโลกปี 1986 ที่เม็กซิโก ซึ่งมาราโดน่ากระโดดใช้มือปัดเข้าประตู ที่ทำให้เกิดตำนานอมตะนี้ขึ้นมา รวมถึงประตูหลังจากนั้นถัดมาที่เขาโซโล่เดี่ยวเลี้ยงหลบครึ่งสนามเข้าไปยิงแล้วกลายเป็นประตูที่สวยที่สุดตลอดกาลในฟุตบอลโลก ซึ่งทั้งหมดเกิดขึ้นในเกมเดียว ซึ่งหนังก็นำไฮไลท์การแข่งขันตรงนี้มาขยายไว้ในเรื่องด้วย
สำหรับข้อเสียของเรื่องก็มีอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน โดยเฉพาะการใส่สัญลักษณ์หลายอย่างเข้ามาในประเด็นที่ดูแล้วเข้าใจได้ยากมากสำหรับคนดูชาวเอเชียและชาวพุทธ หรือคนในศาสนาอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนักบุญเด็กที่ช่วยให้ผู้หญิงตั้งท้องได้ เป็นต้น แล้วยิ่งถ้าไม่ใช่แฟนฟุตบอลแล้วก็จะยิ่งไม่เข้าใจความสำคัญของมาราโดน่าที่มีต่อทีมนาโปลีและเมืองเนเปิ้ลส์แน่นอนว่ามันเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มากขนาดนั้น
หนังยังมีความต้องการจิกกัดสังคมอิตาลีไปจนถึงความเชื่อของชาวลัทธิคอมมิวนิสต์ไปจนถึงฝ่ายซ้ายด้วย แต่ต้องยอมรับว่าดูรอบแรกแล้วบางประเด็นก็ยังเข้าใจยากพอสมควร แต่เมื่อลองกลับมาดูรอบที่ 2-3 จะรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้จิกกัดศาสนาและการเมืองเอาไว้อย่างแยบยลเลยทีเดียว
ตัวหนังยังเข้าข่ายเป็นเรตระดับ 18+ เนื่องจากมีฉากเปลือยหน้าอกของผู้หญิงให้เห็นกันตั้งแต่ตอนแรกๆ และยังออกมามีเป็นระยะ มีแม้กระทั่งฉากเซ็กส์ระหว่างเด็กวัยรุ่นกับคนสูงอายุอีกต่างหาก แต่ก็ถือว่าเป็นฉากที่ทำมาเสมือนต้องการนำเสนอการก้าวผ่านวัยเด็กของวัยรุ่นคนหนึ่งไปสู่วัยที่จะเป็นผู้ใหญ่แบบ Coming of Age ได้แบบตลกร้าย
สรุปภาพรวมแล้ว นี่เป็นหนังที่ทำฉากหน้าเสมือนเป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของเด็กวัยรุ่นในเนเปิ้ลส์ที่มี มาราโดน่า มาเป็นแรงบันดาลใจให้เหมือนกับชาวเมืองคนอื่นๆ แต่เขาก็ต้องเผชิญกับความสูญเสียครั้งใหญ่และจุดเปลี่ยนของชีวิตที่ทำให้การดูฟุตบอลไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆของเขาอีกต่อไป แล้วยังแฝงประเด็นการจิกกัดศาสนา ความเชื่อ การเมือง ที่ชวนให้ขบคิดได้อย่างน่าสนใจมาก สมกับที่คว้ารางวัลในงานที่เวนิซและอีกหลายสำนัก เรียกได้ว่าที่จริงแล้วนี่คือหนังวิพากษ์พระเจ้าและศาสนากับความเชื่อมากกว่า เพียงแต่มีมาราโดน่ามาเป็นฉากหน้าเพื่อเรียกความสนใจ แล้วก็ถือว่าทำได้ดีซะด้วยครับ