RELEASE DATE
02/03/2023
RUNTIME
116 Minutes
GENRE
Drama Action Sport
DIRECTOR
Michael B. Jordan
CAST
Michael B. Jordan Jonathan Majors Tessa Thompson
OUR SCORE
6.8
นับเป็นเวลาถึง 8 ปีแล้วที่โลกภาพยนตร์ได้มีโอกาสต้อนรับ อโดนิส ครีด ตัวละครที่เป็นเหมือนผู้รับมรดกมาจากแฟรนไชส์หนังนักมวยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่าง ‘Rocky’ ในชื่อสั้น ๆ ว่า ‘Creed’ หลังจากหนัง 2 ภาคแรกเก็บความประทับใจจากแฟน ๆ ของหนังร็อคกี้และได้ใจผู้ชมยุคใหม่ด้วยเรื่องราวการไต่เต้าจากนักมวยรองบ่อนสู่แชมป์โลกเคียงคู่ร็อคกี้ ตัวละครในตำนาน
และเป็นที่ทราบกันดีว่า ‘Creed III’ มีการเปลี่ยนแปลงสองสิ่งใหญ่ ๆ อย่างแรกคือการที่มันจะไม่มีตัวละครร็อคกี้ของ ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน (Sylvester Stallone) อีกต่อไปและนี่จะเป็นการขึ้นมาชิมลางงานกำกับของ ไมเคิล บี จอร์แดน (Michael B. Jordan) เป็นครั้งแรกควบคู่กับการแสดงในบทบาทที่ทำให้เขาเป็นที่รู้จักในวงกว้าง และแน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงที่กล่าวมาถือเป็นเดิมพันที่ยิ่งใหญ่ไม่น้อยสำหรับทั้งสตูดิโออย่างวอร์เนอร์ดิสคัฟเวอรี (Warner Discovery) และตัวจอร์แดนเอง
ในหนังภาคนี้ อโดนิส หรือ ดอนนี่ (รับบทโดย ไมเคิล บี จอร์แดน) จำเป็นต้องกลับไปเผชิญหน้ากับอดีตอันเลวร้ายอีกครั้งเมื่อ เดเมี่ยน (รับบทโดย โจนาธาน เมเจอร์ส, Jonathan Majors) กลับมาหาเขาเพื่อหวังจะได้ครองเข็มขัดแชมป์โดยไม่สนวิธีการที่ถูกต้อง ดอนนี่จำต้องกลับสู่สังเวียนอีกครั้งเพื่อสะสางหนี้แค้นกับเดเมี่ยนและทวงคืนศักดิ์ศรีของนักมวยอาชีพในตัวเขาให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง
แม้จะได้ชื่อว่ากำกับหนังเป็นเรื่องแรกแต่ฝีไม้ลายมือของจอร์แดนก็ไม่ได้ขี้เหร่นะครับ บอกไว้ก่อนว่ามุมมองการเล่าเรื่องด้วยภาพของเขาถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว ทั้งการเล่นแสงกับเงาในฉากย้อนอดีตที่สื่อความหมายถึงเงาอดีตที่ตามมาหลอกหลอนดอนนี่อยู่ หรือการถ่ายทำฉากการแข่งขันกีฬาชกมวยที่จอร์แดนและ เครเมอร์ มอร์เกนเธา (Kramer Morgenthau) เลือกใช้กล้อง IMAX ตัวท็อปทั้ง Red V Raptor IMAX และ SONY CineAlta Venice IMAX มาถ่ายทอดฉากชกมวยที่มีทั้งภาพขยายเป็นอัตราส่วน 1.90:1 เมื่อชมในระบบ IMAX และการถ่ายทำภาพแบบซูเปอร์สโลว์ เห็นเหงื่อกระเด็นเป็นเม็ด ๆ
อีกทั้งในฐานะนักแสดงเอง เขาก็ยังสามารถคุมการแสดงของนักแสดงทุกคนได้อยู่หมัด ทั้งของตัวจอร์แดนเองที่มีความดราม่าอยู่สูง ตลอดจนตัวละครแวดล้อมอย่าง เทสซา ธอมป์สัน (Tessa Thompson) ในบทเบียงกา ภรรยาผู้เป็นแสงสว่างในชีวิตและ วูด แฮริส (Wood Harris) ในบทลิตเติลดุ๊ค โค้ชคู่ใจของ อโดนิส ครีด รวมไปถึงการแสดงของ โจนาธาน เมเจอร์ส ที่บอกได้เลยว่าแม้บทจะให้โอกาสแค่ไหนแต่ทุกเฟรมที่เขาปรากฎตัวมีทั้งความน่าประหวั่นพรั่นพรึง และความคับแค้นใจที่เสริมมิติให้ตัวละครมีเสน่ห์น่าติดตาม
ซึ่งส่วนหนี่งในความดีของหนังก็คงต้องยกให้บทหนังเรื่องนี้ที่มี ไรอัน คูกเลอร์ (Ryan Coogler) ที่ปั้นหนังมาตั้งแต่แรกมาคุมทิศทางเรื่องทั้งเขียนบทและโปรดิวซ์หนังให้ โดยการพาตัวละครอโดนิสออกนอกกรอบเดิมที่กำหนดให้เป็นมรดกของร็อคกี้สู่การสร้างตำนานหนังนักมวยที่ต้องเผชิญหน้ากับอดีตและตั้งคำถามกับโอกาสที่ได้รับในชีวิต ซึ่งถือเป็นทิศทางใหม่ที่น่าสนใจแต่ก็ยอมรับว่ามันเต็มไปด้วยความเสี่ยงหลายอย่างและผลลัพธ์บนจอของมันก็เห็นเลยว่ามีหลายอย่างที่ด้อยไปกว่าหนังสองภาคก่อนอย่างเห็นได้ชัด
ประการแรก คือการที่มันเลือกที่จะทิ้งร็อคกี้แบบพูดถึงแค่ไม่กี่ครั้งในหนัง ก็ประหนี่งว่าจะประกาศว่า ‘Creed III’ คือการเริ่มต้นแฟรนไชส์ในฐานะหนังนักมวยเรื่องใหม่ที่ไม่อิงจากความสำเร็จเดิมแล้ว แม้จะกล้าหาญแต่ต้องยอมรับว่าบทร็อคกี้ ในฐานะโค้ชของหนังที่ผ่านมามันคือสีสันและการระลึกถึงความประทับใจของผู้ชมที่มีต่อตัวร็อคกี้ในขณะที่ตัวละคร ลิตเติลดุ๊คของ วูด แฮริส ยังสะสมบารมีและความรักจากผู้ชมได้ไม่มากพอ เห็นได้ชัดเลยว่าพลังของแฮริสในฐานะโค้ชข้างสนามหรือผู้คุมฝึกซ้อมยังทำได้ไม่น่าประทับใจนัก
ประการต่อมา คือการที่บทหนังเองเหมือนมีข้อขัดแย้งในตัวเองบางจุด โดยเฉพาะหัวใจของการเน้นไปที่การต่อสู้ของตัวละคร อันเดอร์ด็อก (Underdog) หรือพวกมวยรองบ่อน ในภาคนี้คนที่เข้ากับสถานะนี้ที่สุดเห็นจะเป็นเดเมียน ตัวละครของ โจนาธาน เมเจอร์ส ที่ปากกัดตีนถีบแต่เมื่อหนังจำต้องให้เดเมียนเป็นคู่ต่อสู้หรือผู้ร้ายประจำภาค เราเลยได้เห็นอโดนิสที่ห่างไกลจากสถานะการเป็นมวยรองบ่อนมาก มาต่อสู้กับคนที่หลังชนฝาต้องการชัยชนะเพื่อพาตัวเองสู่ความสำเร็จทางลัดอย่างเดเมียนแทน
ถามว่าหนังสามารถไปทางนี้ได้ไหม ก็ต้องตอบล่ะครับว่าได้ แต่การจับอโดนิสไปต่อยกับเดเมียน สำหรับผม ผมหาเหตุผลที่จะเชียร์ได้ยากไปหน่อย อย่างใน ‘Creed’ ภาคแรก เราอยากเอาใจช่วยดอนนี่เพราะอยากให้เขาก้าวข้ามความเกลียดชังพ่อตัวเองไปสู่การสร้างตำนานบทใหม่ ส่วนภาคต่ออย่าง ‘Creed II’ ก็ทำให้เราต้องมาลุ้นกับการชกกับนักมวยสุดอันตรายที่มีแบ็กกราวด์เป็นความแค้นกับคู่ชกที่เคยทำให้พ่อของเขาต้องตายคาสังเวียน
แต่สำหรับ ‘Creed III’ ต้นเหตุทุกอย่างก็มาจากอโดนิสเอง การช่วยเหลือด้วยความรู้สึกผิดบาปของเขาก่อปัญหาทั้งเรื่องธุรกิจส่วนตัวและต่อมาก็ลามไปจนถึงการถูกดูหมิ่นลดทอนศักดิ์ศรีที่บีบบังคับให้อโดนิสต้องคืนสังเวียนทั้งที่ประกาศแขวนนวมไปตอนต้นเรื่องแล้วและยังทำให้เห็นด้วยว่าตัวละครอย่าง อโดนิส เองแทบไม่มีความเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเลยแม้จะมีลูกเมียแล้วก็ตาม
See also
on 10/01/2023
Everything But The Girl กลับมาพร้อม ‘Fuse’ อัลบั้มแรกในรอบ 24 ปี พร้อมปล่อยซิงเกิล “Nothing Left To Lose”
และอีกสารพันปมปัญหาที่เยอะมากจนทำให้หนังความยาวเกือบ 2 ชั่วโมงมีปมที่ทิ้ง ๆ ไว้ไม่ต่างจากหนังยาว 3 ชั่วโมงขึ้นไปทั้งปมเรื่องลูกไปต่อยกับเพื่อนในโรงเรียนคนหูหนวกที่เหมือนจะพูดถึงการต่อต้านความรุนแรงหรือความเสียหายที่อโดนิสก่อไว้กับนักมวยในสังกัดของตนที่ตัดจบไปแบบดื้อ ๆ ไม่ได้มีซีนที่เขาเลือกจะไปเคลียร์ใจกับอีกฝ่ายแต่อย่างใด
ถึงแม้ตัวหนังจะยังมีปัญหาในเรื่องความสมเหตุสมผลของบทหนังหรือการที่มันทิ้งความดีงามในการเป็นหนังมรดกของร็อคกี้ แต่หากประเมินในแง่หนังดราม่านักมวยที่มีฉากบนสังเวียนเดือด ๆ แล้วล่ะก็ ‘Creed III’ ยังคงตอบโจทย์อยู่ดีครับ โดยเฉพาะการชมในระบบ IMAX คือเพิ่มอรรถรสให้หนังได้ดีเยี่ยมเลยครับ