MONTANA STORY

รีวิว หนัง MONTANA STORY

รีวิว หนัง MONTANA STORY ภาพยนตร์แนวดราม่ายอดเยี่ยมที่อาจจะไม่เหมาะสำหรับผู้รับชมทุกคน

บนโลกใบนี้มีภาพยนตร์หลากหลายแนวให้เราได้เลือกรับชมและมันก็ทำให้ความชื่นชอบของแต่ละคนแตกต่างกันออกไป เมืองคนชอบภาพยนตร์ที่ย่อยง่ายอย่างเช่นภาพยนตร์แนวโรแมนติก คอมเมดี้ ต่อสู้ ในขณะที่บางคนก็ชื่นชอบภาพยนตร์ที่ดูแล้วได้คิดตามอย่างเช่นภาพยนตร์แนวสงคราม ภาพยนตร์แนวอาชญากรรม หรือแม้แต่ที่เราจะมาแนะนำกันในวันนี้อย่างภาพยนตร์แนวดราม่า เป็นภาพยนตร์ที่อาจจะไม่ได้สร้างความสนุกสนานถึงขนาดนั้นแต่มันก็เพลินจนสามารถดูได้จนจบเรื่อง แถมรับชมจบแล้วก็ยังได้อะไรไปคิดมากมาย ดังนั้นภาพยนตร์แนวหลังที่ว่ามานี้มันจึงไม่ใช่ภาพยนตร์ที่เหมาะสำหรับผู้รับชมทุกคนแต่อย่างใด 

ดังนั้นเราจึงต้องออกตัวก่อนว่าภาพยนตร์ที่จะมาแนะนำกันในวันนี้เป็นภาพยนตร์แนวดราม่าที่ยอดเยี่ยมเป็นอย่างมากแต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะชอบมันอย่างแน่นอนนั่นก็คือ MONTANA STORY ภาพยนตร์ที่สื่อต่างประเทศบางสำนักยกให้เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ขึ้นหิ้งที่น่าชื่นชมในช่วงครึ่งปีแรกของ 2022 อัดแน่นมาด้วยงานแสดงที่ยอดเยี่ยมสมบทบาทพร้อมกับเทคนิค PRODUCTION ที่ถึงจะเรียบง่ายแต่ก็นำเสนอเรื่องราวออกมาได้อย่างเฉียบคม 

หนังดราม่า โรแมนติก

ภาพยนตร์จะพาเราไปสำรวจบาดแผลลึกที่ถูกซ่อนเอาไว้ในจิตใจนับตั้งแต่อดีตผ่านตัวละครสองพี่น้องที่สุดแสนจะห่างเหินแล้วต้องเดินทางกลับมาพบกันอีกครั้งในวันที่ทุกอย่างถูกกำหนดเอาไว้แล้ว เป็นภาพยนตร์ที่ดราม่าอย่างเข้มข้นและกัดกินหัวใจของผู้รับชมจนทำให้มันกลายเป็นที่พูดถึงอย่างหนักหลังจากฉายในเทศกาลภาพยนตร์โตรอนโตในปีที่ผ่านมา และในวันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวให้มากขึ้นกัน 

เรื่องราวในภาพยนตร์เรื่อง MONTANA STORY

MONTANA STORY เป็นภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องราวของสองพี่น้องประกอบไปด้วยเอรินและคาล ทั้งคู่เป็นพี่น้องที่คลานตามกันออกมาก็จริงแต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่นั้นกลับห่างเหินไม่ได้สนิทกันเหมือนกับพี่น้องธรรมดาทั่วไป พวกเขาต่างแยกย้ายกันไปใช้ชีวิตหลังจากที่เติบโตขึ้นและแทบจะไม่ได้ติดต่อกันเลย จนกระทั่งในวันหนึ่งพวกเขาต้องเดินทางกลับมายังฟาร์มที่ตั้งอยู่ในดินแดนอันไกลโพ้นและเวิ้งว้างในรัฐมอนทาน่า 

มันเป็นบ้านเกิดที่ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยอยู่ในวัยเด็กและยังเป็นสถานที่ที่ตอนเด็กพวกเขาเคยชอบเป็นอย่างมากอีกด้วย เนื่องจากมันมีพื้นที่กว้างให้วิ่งเล่นและมีกิจกรรมมากมายให้ทำ แต่เมื่อเติบโตขึ้นพวกเขากลับรู้สึกเกลียดชังสถานที่แห่งนี้และไม่เคยกลับมาอีกเลยนับตั้งแต่โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ทั้งสองต่างตัดสินใจที่จะออกจากสถานที่แห่งนี้ไปจนกระทั่งในวันนี้ที่พวกเขากลับมา

การเดินทางกลับมายังบ้านในรัฐมัณฑนาอีกครั้งเหมือนกับการกลับมายังสถานที่ที่พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับมรดกที่เต็มไปด้วยความขมขื่นและบาดแผลในจิตใจที่เกิดขึ้นในครอบครัวเล็กๆ ชาวอเมริกันโดยแท้จนทำให้พวกเขานั้นห่างเหินกันไปในที่สุด การเดินทางกลับมายังสถานที่ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่างจะช่วยให้พี่น้องคู่นี้กลับมาสนิทกันเหมือนเดิมหรือไม่ ความสัมพันธ์ของครอบครัวดังกล่าวจะเป็นอย่างไรต้องติดตามรับชมกันต่อในภาพยนตร์ 

ความรู้สึกหลังรับชมภาพยนตร์เรื่อง MONTANA STORY

MONTANA STORY เป็นภาพยนตร์ของผู้กำกับ 2คู่หูอย่างเดวิด ซีเกิลและสก๊อต แม็กกีห์ที่ครั้งหนึ่งเคยสร้างผลงานที่น่าประทับใจอย่าง BEE SEASON ให้พวกเราได้รับชมประมาณ 20 ปีที่แล้ว การกลับมาในครั้งนี้พวกเขาตัดสินใจที่จะสร้างผลงานเป็นภาพยนตร์แนวดราม่าตามความถนัดอีกครั้งและยังนั่งแท่นเขียนบทด้วยตนเองอีกด้วย ต้องยอมรับว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เห็นปกภาพยนตร์แล้วก็ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจแถมเรื่องราวก็ยังดูน่าเบื่อ แต่ในความเป็นจริงแล้วสำหรับคอภาพยนตร์ดราม่านี่เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็ว่าได้ 

ดังนั้นเราจึงพูดถึงประเด็นดังกล่าวตั้งแต่ต้นว่าภาพยนตร์เรื่องนี้อาจไม่ใช่ภาพยนตร์ที่เหมาะสำหรับการรับชมทุกเพศทุกวัย การเล่าเรื่องค่อนข้างช้าเหมือนกับภาพยนตร์แนวดราม่า การเล่าเรื่องก็เต็มไปด้วยสิ่งที่น่าขัดใจเต็มไปหมด แต่หากสังเกตดูให้ดีเราจะเห็นถึงรายละเอียดมากมายที่ผู้สร้างพยายามใส่ความละเอียดทางด้านอารมณ์เข้ามาและมีการเพิ่มมิติให้กับตัวละครมากขึ้นตามเวลาที่ภาพยนตร์ฉายอย่างชัดเจน 

ด้วยความที่ผู้กำกับมาเขียนบทเองดังนั้นบทมันอาจจะไม่ได้มีความน่าสนใจหรือคมคายขนาดนั้น แต่สิ่งที่ได้มาคือชั้นเชิงที่ซ้อนทับกันหลายต่อหลายครั้งจนกลายเป็นตะกอนความคิดและความรู้สึกที่นำเสนอออกมาได้อย่างละเอียดอ่อน มันเป็นภาพยนตร์ที่อัดแน่นไปด้วยความสิ้นหวัง ความเศร้า ความหดหู่ แต่ก็ยังมีความหวังเข้ามาด้วย เมื่อประกอบเข้ากับงาน PRODUCTION ที่ดูง่ายงานภาพสบายตา มันเลยกลายเป็นภาพยนตร์ที่สามารถรับชมได้เรื่อยๆ อย่างเพลิดเพลิน ดังนั้นถึงแม้ว่าภาพยนตร์จะไม่มีจุดพีคเลยแม้แต่น้อยแต่มันก็ยังสามารถดึงดูดให้เรารับชมได้จนจบเรื่อง 

โดยรวมแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้ถือว่าเป็นภาพยนตร์แนวดราม่าที่ทำออกมาได้ค่อนข้างดี ติดอย่างเดียวคือการดำเนินเรื่องราวที่ช้าและไล่เรียงเรื่องราวออกมาเนิบไปเสียหน่อย แต่การเล่าประเด็นหลักของภาพยนตร์นั้นมีความเฉียบคมและสามารถเล่าถึงประเด็นความสัมพันธ์ในครอบครัวออกมาได้อย่างหนักแน่นผสมกับความละเอียดอ่อนของความรู้สึกได้เข้ากันเป็นอย่างดี เมื่อรับชมแล้วต้องตีความการกระทำหรือคำพูดของตัวละครมากขึ้น ดังนั้นถึงแม้ว่าจะมีบางช่วงที่ทำให้รู้สึกง่วงไปบ้างแต่ก็ถือว่ายังอยู่ในระดับที่ยอดเยี่ยมสำหรับภาพยนตร์แนวดราม่า 


ตัวอย่างหนัง MONTANA STORY

รีวิวหนัง MONTANA STORY บางส่วนจาก trueid

ถึงคิวของหนังดราม่ารสชาติดีที่บางสื่อในต่างประเทศยกให้เป็นหนึ่งในหนังขึ้นหิ้งเชยชมในช่วงครึ่งแรกของปี 2022 นี้ทีเดียว หนังที่อาจจะอยู่นอกสายตาผู้ชม แต่มาพร้อมกับงานขายการแสดงและเทคนิคโปรดักชั่นที่เรียบง่ายแต่เฉียบคม นี่คือ “Montana Story มอนทานา สายเลือดสายใยรัก” ความเข้มข้นของดราม่าที่ค่อย ๆ กัดกินผู้ชม ที่เคยเป็นที่กล่าวถึงไม่เบาในเทศกาลหนังโตรอนโตเมื่อปีที่แล้ว

Montana Story เป็นเรื่องราวซาบซึ้งสะเทือนอารมณ์ของพี่น้องที่ห่างเหินกัน อย่าง เอริน กับ คาล ที่พวกเขากลับมาที่บ้านฟาร์มที่อยู่ท่ามกลางดินแดนอันเวิ้งว้างของรัฐมอนทาน่า เป็นสถานที่ที่พวกเขาเคยชอบในวัยเด็ก แต่กลับเกลียดชังเมื่อเติบโตขึ้น พร้อมกับเลือกที่จะหนีจากสถานที่แห่งนี้ไป การกลับมาเหยียบที่ของพวกเขาได้มาเผชิญหน้ากับมรดกที่แสนขมขื่นที่เป็นบาดแผลฝังลึกเอาไว้ในใจของครอบครัวเล็ก ๆ ของชาวอเมริกันแท้

นี่คือผลงานของ 2 คู่หูผู้กำกับ “สก็อต แม็กกีห์” กับ “เดวิด ซีเกิล” ที่เคยสร้างความประทับใจให้ผู้ชมมาแล้วในหนัง Bee Season เมื่อเกือบจะ 20 ปีก่อน พวกเขากลับมาหยิบจับสร้างสรรค์งานหนังดราม่าสไตล์ถนัด พร้อมกับพ่วงตำแหน่งเขียนบทหนังเรื่องนี้กันเองด้วย แม้ว่าภาพหน้าหนังอาจจะดูไม่ได้โดดเด่นน่าสนใจอะไร แต่เนื้อในของหนังเรื่องนี้ค่อนข้างลึกซึ้งและเป็นเหมือนน้ำหยดลงบนหินในทุก ๆ วันอะไรทำนองนั้น

อาจจะต้องบอกตามตรงว่า Montana Story ไม่น่าจะใช่หนังที่เหมาะกับผู้ชมทุกคน เพราะสไตล์ของหนังเรื่องนี้นั้น มีการเล่าเรื่องในรูปแบบค่อนข้างเนื่อยและเดินไปข้างหน้าแบบช้า ๆ ช้าชนิดที่ใครที่ชอบดูหนังแอคชั่นระห่ำพวกนั้นน่าจะปิดหนีและเลิกดูไปเลยก็ได้ แต่บนพื้นฐานของการเล่าเรื่องที่แสนจะขัดใจนั้น เต็มไปด้วยรายละเอียดที่ผู้สร้างพยายามจะใส่ความละเอียดอ่อนทางอารมณ์และค่อย ๆ เพิ่มมิติให้กับคาแรกเตอร์ตัวละครเหล่านั้นเพิ่มขึ้นอย่างมีชั้นเชิง

หนังเรื่องนี้อาจจะไม่ได้มีบทหนังที่คมคายเป็นหนึ่ง แต่ก็แฝงด้วยชั้นเชิงทับซ้อนที่กลายเป็นจุดตกตะกอนความคิดและความรู้สึกออกมาได้อย่างละเมียดละไม มันมีทั้งอารมณ์แห่งความหดหู ความเศร้า ความสิ้นหวัง และความหวัง ประดับประดาอยู่ในเรื่องนี้เต็มไปหมด และเมื่อมาผนวกเข้ากับงานโปรดักชั่นดีไซน์ที่ง่าย ๆ แต่งานออกมาสวยบาดตาแบบในเรื่องนี้ ถือว่าเป็นรสชาติที่เพิ่มความละมุนแบบสโลว์ไลฟ์ดีไปอีกอย่าง

นอกจาก Montana Story จะมีภาพเลเคชั่นที่งดงามบาดจิต กับการเลือกสถานที่ถ่ายทำเป็นพื้นที่ที่ราบสูงของเทือกเขาร็อกกี้ หนังยังสอดแทรกประเด่นเกี่ยวกับชนเผ่าพื้นเมืองที่นับได้ว่าพื้นที่แห่งนี้เปรียบเสมือนเป็นดินแดนตั้งต้นของชนเผ่าอินเดียนแดงหรือชนเผ่าอเมริกันแท้ เขาไปแบบผิวเผินได้อย่างน่าสนใจไม่แพ้กันด้วย และเมื่อนำหลาย ๆ องค์ประกอบมารวมกัน ยิ่งช่วยยกระดับให้กับหนังเรื่องนี้ได้ค่อนข้างดี

และอีกสิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คืองานแสดง ที่โดดเด่นจัด ๆ มากในหนังเรื่องนี้ก็คือ 2 นักแสดงนำ “โอเวน ทีค” กับ “เฮลี่ย์ ลู ริชาร์ดสัน” ที่พวกเขาถ่ายทอดออกมาเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ไม่ได้แสดงออกมาให้เห็นทางกายภาพมากนัก เป็นอีกหนึ่งการแสดงที่เต็มไปด้วยสีสันและรสชาติที่ค่อนข้างดี โดยเฉพาะฝ่ายหญิงที่ขับเคี่ยวการแสดงออกมาในรูปแบบน้อยแต่มาก และทรงพลังได้จากการสื่อสารด้านอื่น ที่ไม่ใช่คำพูดได้เป็นอย่างดี ถือว่าทั้งคู่ได้มาพยุงการแสดงทำให้หนังเรื่องนี้…สอบผ่าน