The Ballad of Songbirds and Snakes ปฐมบทเกมล่าเกม เรื่องราวเกิดขึ้นหลายปีก่อนที่เขาจะกลายเป็นประธานาธิบดีเผด็จการของปาเนม โคริโอเลนัส สโนว์ วัย 18 ปีคือความหวังสุดท้ายของครอบครัวเขา ครอบครัวที่ครั้งหนึ่งเคยเจริญรุ่งเรืองซึ่งล่มสลายหลังสิ้นสุดสงครามครั้งสุดท้าย ขณะที่ Hunger Games ครั้งที่ 10 ใกล้เข้ามา สโนว์ขอความช่วยเหลือจากลูซี่ เกรย์ เบิร์ด ชายหนุ่มผู้โศกเศร้าจากเขต 12 อันโหดร้าย
แต่หลังจากที่ลูซีครองใจชาวปาเนมด้วยการร้องเพลงอันไพเราะของเธอในพิธีเก็บเกี่ยว สโนว์ก็มองเห็นวิธีนำโชคเข้าข้างเขา เขาต้องใช้ความสามารถของเขาในการแสดงออกและสะสมอำนาจทางการเมือง สโนว์และลูซี่ต้องแข่งกับเวลาเพื่อเอาชีวิตรอด ซึ่งในที่สุดจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงว่าใครคือนกผู้ขับขาน และใครคืออสรพิษ
สำหรับในหนังเรื่องนี้ถือว่าได้เสาหลักเดิมกลับมาดูแลงานสร้าง นั่นก็คือ “ฟรานซิส ลอว์เรนซ์” ผู้ที่เคยกำกับและปลุกปั้นเวอร์ชั่นก่อนออกมาถึง 2 ภาค 3 เรื่อง ดังนั้นมันจึงกลายเป็นเหมือนการสานต่องานที่เคยปูทางเอาไว้แบบไม่มีรอยต่ออะไรมาบดบังสักเท่าไหร่ เราจึงสัมผัสได้เห็นถึงองค์ประกอบต่าง ๆ ที่เข้ามือผู้กำกับและเข้าทางตัวหนังได้ดีตลอดทั้งเรื่อง
ต้องยอมรับเลยว่างานสร้างใน The Ballad of Songbirds and Snakes มีกลิ่นอายและโทนแบบเดียวกับไตรภาคที่แล้วเคยทำเอาไว้ได้ดี โดยการงานสร้างโลกของพาเน็มในยุคสมัยที่ออกจะวินเทจกว่าเดิมเยอะขึ้นหน่อย แต่ก็เต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่โอ่อ่าแบบที่แฟน ๆ น่าจะประทับใจได้ดี รายละเอียดต่าง ๆ ถือว่าหนังใส่เข้ามาได้ค่อยข้างครบเครื่องไม่เบา และทำให้แฟนหนังได้เอ็นจอยไปกับอีสเตอร์เอ้กต่าง ๆ ที่ทยอยปล่อยออกมาเรื่อย ๆ ตลอดทั้ง 2 ชั่วโมงนิด ๆ ของหนัง
ทางด้านบทหนังก็ยังคงอิงมาจากงานเขียนของ “ซูแซนน์ คอลลินส์” คนเดิม โดยครั้งนี้ได้ 2 มือเขียนบทไฟแรงในยุคนี้ อย่าง “ไมเคิล อาร์นตต์” (Star Wars: The Force Awakens) กับ “ไมเคิล เลสลี” (จาก Macbeth) งานที่ได้ออกมาจึงเต็มไปด้วยความเอพิคกำลังดี คลุกเคล้ากับวิถีดรามาผสมเกมการเมืองการปกครองอันเป็นเสน่ห์ของหนังเรื่องนี้ ไฮไลต์ยังโดดเด่นกับการใส่นิยามความเหลื่อมล้ำและเสียดสีชนชั้นอย่างแยบยลเช่นเคย เราจะสัมผัสได้ถึงคำคมมากมายที่ถูกยิงใส่รัว ๆ
แต่กระนั้นแล้ว บทหนัง The Ballad of Songbirds and Snakes ก็ยังได้ว่าอยู่ในอ่างเซฟโซนอยู่เช่นเคยอีกนั่นแหละ เข้าใจว่าหนังอาจจะต้องการเคารพต้นฉบับนิยายให้มากที่สุด ทำให้ไม่ค่อยมีอะไรแปลกใหม่และแตกแถวออกจากกรอบเดิม ๆ สักเท่าไหร่ หากเป็นคอหนัง-คอนิยายเรื่องนี้ก็น่าจะตื่นตาอยู่ไม่ได้ แต่หากว่าคุณไม่ใช่ ก็อาจจะพบได้ว่านี่เป็นหนังที่ค่อนข้างยืดยาวและออกจะน่าเบื่อไปนิดหน่อยด้วยซ้ำ
ก็ไม่ใช่ว่า The Ballad of Songbirds and Snakes จะไม่สนุกอะไร นี่เป็นหนังที่ดูได้เพลิดเพลินและสามารถจดจ่ออยู่กับมันได้ดีตลอดเวลากว่า 150 นาทีของหนัง เพียงแต่มันก็ยังติดอยู่แค่กรอบเดิม ๆ ที่ไม่ได้มีอะไรเหนือความคาดหมาย แค่แวะมาชำแหละดูคาแรกเตอร์วัยเยาว์ของ คอริโอเลนัส สโนว์ ประธานาธิบดีพาเน็มผู้เรืองอำนาจเท่านั้น แต่อย่างอื่น ๆ ค่อนข้างใส่เข้ามาเพียงแค่ฉาบฉวยและคล้ายกับแค่อยากเซอร์วิสแฟน ๆ ก็เท่านั้นเอง
แล้วก็ช่างดีเหลือเกิน ที่องค์ประกอบทางการแสดงของนักแสดงในหนังเรื่องนี้มาเป็นส่วนที่ช่วยผลักดันและประคับประคองให้ตัวหนังดูดีขึ้นไปตลอดรอดฝั่ง โดยเฉพาะ “ทอม บลายธ์” ที่ต้องใช้ว่า ‘เซอร์ไพรส์’ กับเสน่ห์และการถ่ายทอดบทบาทนี้ของเขาในหนังเรื่องนี้จริง ๆ ยอมรับเลยว่านับตั้งแต่ทราบข่าวว่าเขาจะมารับบทนี้ ก็ยังค่อนข้างรู้สึกเฉย ๆ ไปสักหน่อย แต่เมื่อมาเห็นเขาวาดลวดลายทำหน้าที่ปล่อยการแสดงออกมาในเรื่องนี้แล้ว ก็พบว่าเขาคือดาวดวงใหม่ที่น่าจะมีอนาคตได้ไกลในวงการอีกคนทีเดียว
การแสดงของ ทอม บลายธ์ ถือว่าน่าชื่นชม เขาสามารถสร้างมิติให้กับตัวละครนี้ได้อย่างน่าค้นหา ถึงแม้ว่าบทจะส่งไปเขาได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ก็ตาม แต่เขาสามารถรับมือกับมันและทำออกมาได้อย่างน่าทึ่ง โดยเฉพาะการไล่เรียงลำดับอารมณ์และแนวคิดในช่วงครึ่งหลังของหนัง ผ่านทั้งสีหน้าและท่าทางต่าง ๆ การเป็นคาแรกเตอร์ที่พลิกขั้วได้อย่างชวนขนลุกไม่น้อย
ในขณะที่ “เรเชล ซีเกลอร์” คนนี้ไม่ต้องพูดอะไรมากเลย เธอคือดาวที่เจิดจรัสกับการหยิบจับผลงานทุก ๆ ชิ้นนับตั้งแต่แจ้งเกิดเข้ามาในวงการแสดงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งงานมาสเตอร์พีชของเธอ ถึงแม้ว่าจะยังไม่ใช่บทบาทที่ดีที่สุดที่เธอเคยถือครองอะไร แต่ด้วยอินเนอร์และการถ่ายทอดผ่านคาแรกเตอร์ของเธอนั้น ทำให้ตัวละครนี้เต็มไปด้วยเสน่ห์และความน่าค้นหาที่แอบแฝงให้ผู้ชมพากันคิดวิเคราะห์ตามกัน
ส่วนทีมนักแสดงสมทบคนอื่น ๆ ก็ถือว่าคัดเลือกออกมาใช้ได้ แม้ว่าจะไม่ได้โดดเด่นอะไรถึงที่สุด เพราะเรื่องนี้เน้นเนื้อหาที่ 2 ตัวละครพระนางเป็นหลัก แต่นักแสดงมืออาชีพทุกคนที่โดดเข้ามาเล่นในหนังเรื่องนี้ ต่างก็ทำการแสดงแบบเป็นมืออาชีพของพวกเขาออกมาได้เหมาะเจาะ ไม่ได้คำนึงว่าตัวเองจะมีซีนมากน้อยแค่ไหนก็ตาม นั่นจึงเป็นองค์ประกอบที่ช่วยส่งเสริมหนังเรื่องนี้ให้น่าดูยิ่งขึ้น
The Ballad of Songbirds and Snakes ยังมีบทเพลงที่กลายเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ในตัวเองด้วย เพราะอีกนิดมันก็จะกลายเป็นหนังเพลงได้แล้ว แต่ทว่าในแต่ละบทเพลงนั้นแฝงไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้งและกัดกินใจสไตล์การเสียดสีสังคมตามฉากหลังเรื่องราวของหนังนั่นเอง และ เรเชล ซีเกลอร์ ก็โชว์พลังการร้องเพลงได้อย่างตราตรึงใจ การขุดพลังและอินเนอร์ใส่เข้ามาแต่ละเพลงนั้น ชวนทำให้เรารู้สึกขนลุกไปด้วยจริง ๆ
ดังนั้นโดยสรุปแล้ว The Ballad of Songbirds and Snakes ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งการคัมแบ็กกลับมาที่ค่อนข้างสมศักดิ์ศรีในจักรวาลเกมล่าเกม แม้ว่ามันจะยังไม่ใช่หนังที่สมบูรณ์แบบอะไร บางช่วงบางตอนน่าจะกระชับขึ้นได้มากกว่านี้ โครงเรื่องที่ยังวนเวียนซ้ำเดิมไปสักหน่อย กับการใส่รายละเอียดต่าง ๆ ที่ยังฉาบฉวย เพียงเพื่อแค่ต้องการเซอร์วิสแฟน ๆ เท่านั้น แต่หนังก็มีดีที่งานสร้างด้านต่าง ๆ รวมทั้งการแสดงที่น่าชวนติดตามตลอดทั้งเรื่อง
ไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนของ The Hunger Games หรือไม่ ก็เชื่อว่าหนังเรื่องนี้ก็เต็มไปด้วยความทรงพลัง หากเป็นแฟนอยู่แล้วก็จะเพลินไปกับการเซอร์วิสต่าง ๆ ที่ถูกใส่เข้ามา แต่หากว่าเพิ่งจะเคยมาดูเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกก็น่าจะเพลินไปกับทิศทางและแวดล้อมต่าง ๆ ในหนัง แล้วค่อยไปหาดูไตรภาคหลักดูต่อก็น่าจะเชื่อมกันติดอยู่ เห็นอย่างนี้แล้ว…เชื่อว่าสตูดิโอหนังไม่น่าจะหยุดต่อลมหายใจแฟรนไชส์นี้เพียงแค่นี้จริง ๆ เพราะเอาเข้าจริงก็ยังมีหลายมุมที่เราก็อยากรู้อีกเช่นกัน
ข้อมูลเกี่ยวกับหนัง: The Ballad of Songbirds and Snakes ปฐมบทเกมล่าเกม
- ประเภท: แอคชัน / ดรามา / ผจญภัย
- ผู้กำกับ: ฟรานซิส ลอว์เรนซ์
- นำแสดงโดย: ทอม บลายธ์, เรเชล ซีเกลอร์, ไวโอลา เดวิส, ปีเตอร์ ดิงค์เลจ
- ความยาว: 157 นาที
- กำหนดฉายในไทย: 15 พฤศจิกายน 2023