ร้านอาหารอิตาลี อิลชีโบเอวิตา (Il Cibo E Vita) บนเกาะเบนบริดจ์ กำลังอยู่ในภาวะวิกฤติ ส่งผลให้ที่ปรึกษาร้านอาหารมืออาชีพอย่าง เบน เอลเลียต (Tyler Hynes) ถูกตามมาเพื่อแก้สถานการณ์ แต่โจทย์ใหญ่เลยก็คือเจ้าของร้านอย่าง อลิซาเบธ คัมปีซี (Autumn Reeser) ไม่อยากให้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เพราะเธออยากถนอมรักษาสิ่งต่างๆ ในร้านที่สามีผู้ล่วงลับของเธอได้ก่อร่างสร้างไว้
แต่เมื่อถึงจุดที่ร้านอาจต้องปิดตัว เบนและอลิซาเบธเลยต้องหันมาช่วยกัน ร่วมกันหาทางออกให้กับร้านอาหารเล็กๆ ที่เปี่ยมไอรักแห่งนี้
Always Amore คือหนังรักผสมดราม่าที่มีเรื่องราวของร้านอาหารเป็นฉากหลังครับ ว่าแบบไม่อ้อมค้อมเลยคือหนังดูได้เรื่อยๆ ความกลมกล่อมอาจไม่มาก รสชาติอาจไม่จัดจ้าน เรียกได้ว่าเป็นหนังโรแมนติกดราม่าระดับกลางๆ อีกเรื่องหนึ่ง
จริงๆ หนังมาพร้อมองค์ประกอบน่าสนใจหลายอย่าง ไม่ว่าจะนางเอกอย่างอลิซาเบธที่มาพร้อมปมในใจจากอดีต และร้านอาหารแห่งนี้มีประวัติความเป็นมาที่สมาชิกในร้านต่างก็อยากถนอมเอาไว้ ไหนจะเงื่อนไขว่าร้านจะปิดไม่ปิดแหล่มาเป็นปมหลักให้ลุ้น เพียงแต่การเล่าเรื่องค่อนข้างธรรมดาครับ ไม่มีสีสันชวนให้ติดตามสักเท่าไร หรือปมต่างๆ ในหนังก็ถูกคลายไปตามบท ไม่ได้มีการบิ้วให้มีอารมณ์ลุ้น
Hynes และ Reeser ถือว่าแสดงกันได้ดีครับ รายแรกก็ดูเป็นสุภาพบุรุษอารมณ์เย็นที่เข้าใจดีว่าการที่เขาจะมาสร้างความเปลี่ยนแปลงในร้านอาหารนั้น ย่อมต้องเผชิญกับแรงต้านเป็นธรรมดา มาดและท่าทางเขาถือว่าดีเลยครับ เพียงแต่ไฮไลท์สำคัญจริงๆ ของเขาคือการแสดงฝีมือในการช่วยร้านนี้ให้รอด ซึ่งในจุดนี้เขากลับไม่ค่อยได้แสดงความสามารถอะไรมาก อย่างที่บอกน่ะครับว่าปมต่างๆ มันถูกแก้ไปตามบท ประมาณว่าถึงคิวแก้ได้ก็แก้ออกเลย นี่เลยทำให้พระเอกไม่ค่อยได้แสดงฝีมืออย่างที่ควรจะเป็น
ส่วนนางเอกก็เล่นได้ดีเช่นกัน เธอสื่ออารมณ์ความหนักอึ้งที่ต้องแบกรับอนาคตของร้านและชีวิตของสมาชิกในร้านเอาไว้ แววตาท่าทางของเธอสื่อถึงความลำบากใจและเหนื่อยในหลายวาระ ดูแล้วก็รู้สึกเห็นใจเหมือนกัน และหนึ่งในปมสำคัญของเธอก็คือการก้าวข้ามอดีตและโอบรับความจริงในปัจจุบัน เพื่อก้าวไปสู่อนาคต ซึ่งจริงๆ นี่ก็เป็นปมที่สามารถสร้างความประทับใจให้กับหนังได้ แต่ก็เหมือนกับเรื่องของพระเอกน่ะครับ ที่ปมถูกแก้ไป “ตามบท” อีกเหมือนกัน
บทสมทบอย่างเชฟอันโตนิโอ (Matthew Del Bel Belluz) และนอนน่า (Patty McCormack) แม่สามีของนางเอก 2 รายนี้ก็ดูเต็มที่กับบทเหมือนกันครับ แต่ก็มาในแนวเดียวกัน คือมาพร้อมปมบางอย่าง ก่อนที่ปมจะถูกคลายออก “ตามบท”
ถ้าถามว่าการที่ปมคลายออกตามบทนั้นมันไม่ดีตรงไหน? ก็ขอว่าไปตามใจคิดล่ะครับว่ามันน่าเสียดายน่ะ เพราะปมต่างๆ ที่ถูกปูไว้นั้น ตอนที่ปมถูกแก้หากมีการวางซีนดีๆ กำกับหรือนำเสนอดีๆ มันจะนำมาซึ่งความ “พีค” มันจะเพิ่มความเข้มข้นให้หนังได้มาก ทำให้หนังได้อารมณ์ บางครั้งถึงขั้นเรียกน้ำตาและมักจะมาพร้อมแง่คิดดีๆ – ว่าง่ายๆ คือคนดูจะอินไม่อินมันขึ้นอยู่กับตรงนี้นี่แหละ
แต่กับเรื่องนี้ (รวมทั้งหนังรอมคอมระยะหลังๆ ส่วนใหญ่ของ Hallmark) เหมือนเล่าไปตามบทน่ะครับ บทเขียนมาไงก็ว่าไปงั้น แต่เล่าไม่ถึงอารมณ์ ไม่มีการใส่ชูรสหรือลีลาเพิ่มรสชาติลงไป หนังมันเลยออกมาแบบโมโนโทน ไม่ชวนจดจำแบบหนังแนวเดียวกันเมื่อสมัยก่อน
แต่หนังไม่ได้แย่นะครับ อย่างที่บอกน่ะว่าโครงดี องค์ประกอบก็ดี โลเกชั่นก็น่าพอใจ ดาราก็ทำหน้าที่ตัวเองได้โอเค เพียงแต่มันยังดีได้อีกในส่วนของเราเล่าเรื่องและการนำเสนอน่ะครับ
ก็ดูได้แบบไม่คิดมาก อย่างน้อยบรรยากาศในเรื่องก็ดีครับ ภาพทิวทัศน์ของเมืองถือว่าสวยงามตามท้องเรื่อง อย่างน้อยหนังรอมคอมลงสตรีมระยะหลังๆ นี่ก็มีดีในเรื่องของงานฉาก ภาพบรรยากาศอบอุ่นๆ หรือเมืองเล็กๆ ที่น่ารักน่าแวะไปเที่ยว
ดูแบบไม่คาดหวังก็น่าจะโอเค
สองดาวครับ
(6/10)