Antman ฮีโร่ไม่จำเป็นต้องไซส์ใหญ่
เป็นอีกครั้งที่มาร์เวลกล้าที่จะเข็นซูเปอร์ฮีโร่ตัวใหม่โดยที่เอาซูเปอร์ฮีโร่ที่เป็นที่รู้จักน้อย หรือไม่เป็นทีนิยมมาทำเป็นภาพยนตร์ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าค่ายนี้มองขาดในการสร้างซูเปอร์ฮีโร่คนใหม่จริงๆ ซึ่ง Antman ถือว่าเป็นผลลัพธ์ที่แก้เกมให้แฟนๆหนังค่ายนี้สนุกขึ้นมายิ่งกว่า รวมดาวซูเปอร์ฮีโร่ภาคต่อที่เข้าฉายไปเมื่อเมษาที่ผ่านมาซะอีก
ตัวเรื่องก็ดำเนินง่ายๆมีการปูพื้นตัวละครแต่ละตัวมาเรื่อยๆ ปนความดราม่าเล็กๆ ไม่ให้หนักเกินไป พร้อมทั้งขยายจักรวาล MCU (Marvel Cinematic Univers) ได้อย่างน่าสนใจจริงๆ ซึ่งสเกลหนังนั้นไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเลย แต่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของการดำเนินเรื่องและตัวละคร ที่เรียกได้ว่ามีความเป็นตัวของตัวเองชัดเจนแต่พอมารวมตัวกันมันช่างกลมกล่อมอะไรอย่างนี้ ตัวหนังเองกล้าที่จะใส่มุขตลกหน้าตายเข้ามาแบบไม่ยั้ง ซึ่งผลที่ได้ มุขนี้ยังขายได้อยู่จริงๆ ไม่เสียของแบบหนังการตูนสมุนตัวเหลืองจริงๆ และเป็นอีกเรื่องที่มีการโยงไปยังเหล่าอเวนเจอร์ด้วยนะครับ แถมทิ้งท้ายใน mid cradit และ end cradit ได้อย่างมีพลังมาก ทำเอาอยากดู Civil war ไวๆเลยทีเดียว
ด้านภาพสามมิติ ในระบบ IMAX นั้นเรื่องนี้ถือว่าทำออกมาได้ดี ไม่แบนราบแต่อย่างใด ถือเป็นหนังของค่าย Marvel Studio อีกเรื่องที่งานสามมิติเทพๆ(ตามสไตล์ค่ายนี้) ดีเทียบเท่าอเวนเจอร์ภาคแรกอย่างไงอย่างงั้นเลยทีเดียว
งานด้านเสียง ถือเป็นภาพยนตร์ที่ใช้ประสิทธิ์ภาพด้านเสียงของ IMAX ได้กำลังดี ไม่ได้โดดเด่นจัดเต็มอะไร แต่ก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ เนื่องด้วยสเกลหนังมันเล็กแบบเล็กมากๆจริงๆ จะให้มาตูมตามระเบิดภูเขาเผากระท่อมแบบไมเคิลเบย์ใน Transformers มันก็ใช่เรื่อง
นี่ถือเป็นตัวชี้วัดแนวทางของภาพยนตร์แอคชั่นในช่วงหลังๆนี้เลยนะครับว่า บางทีอะไรที่มันไม่ต้องอลังการจัดเต็มแบบยัดเยียดอย่างที่ Transformer 2-4 เค้าพยายามจะใส่เข้ามาจนมันล้นเป็นน้ำเต็มแก้ว แล้วหันมาทำหนังที่สเกลพอประมาณ ไม่ต้องเวอร์วังอลังการ เพียงแต่ใส่เสน่ห์ให้กับตัวละครกับบทที่กลมกล่อม มันก็ทำให้ตัวหนังทั้งเรื่องดูดีเพอร์เฟคกว่าหนังที่พยายามจะชักแม่น้ำทั้ง 5 มายัดลงในหนังเรื่องเดียว จนคนดูเหนื่อยล้าและรอเวลาที่หนังจะจบ