Bad Times at the El Royale (2018) ห้วงวิกฤตที่ แอล โรแยล

เรื่องนี้นี่จัดว่าเข้าทางผมเลยครับ เป็นหนังว่าด้วยปริศนาซ่อนเงื่อน เดินเรื่องเหมือนนิยายที่เปิดไปทีละหน้าๆ ให้เราค่อยๆ รู้จักตัวละคร ค่อยๆ สังเกตรายละเอียดและความผิดปกติบางประการที่เกิดขึ้น ก่อนที่ปมจะเริ่มเปิดให้เราคอยติดตามว่าเรื่องมันจะไปทางไหนต่อ

เปิดมาหนังก็แนะนำให้เรารู้จักกับ 4 ตัวละคร อันได้แก่ คุณพ่อแดเนี่ยล ฟลินน์ (Jeff Bridges), ดาร์ลีน สวีท (Cynthia Erivo), ลารามี่ ซีมัวร์ ซัลลิแวน (Jon Hamm) และเอมิลี่ ซัมเมอร์สปริง (Dakota Johnson) พวกเขาต่างก็แวะมาเข้าพักที่โรงแรมแอล โรแยลที่มีไมลส์ มิลเลอร์ (Lewis Pullman) เป็นผู้ดูแลที่แห่งนี้เพียงลำพัง

รู้แค่นี้พอครับ ทีเหลืออยากให้ไปติดตามกันเอง เพราะความสนุกของหนังมันอยู่ตรงที่ตัวละครแต่ละคนค่อยๆ เผยตัวตนออกมา และปมต่างๆ ค่อยๆ เปิดขึ้นให้เราเกิดคำถามว่าตกลงพวกเขาเป็นใคร แล้วมันกำลังจะเกิดอะไรขึ้นที่โรงแรมแห่งนี้

หนังเขียนบทและกำกับโดย Drew Goddard แห่ง The Cabin in the Woods และยังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังซีรี่ส์ Daredevil ของ Netflix ด้วยครับ มาเรื่องนี้พี่ท่านก็ยังไว้ลายทำหนังแนวซ่อนเงื่อนออกมาได้น่าสนใจเหมือนเดิม แต่ก็ต้องบอกก่อนว่าใครที่ไม่สันทัดหนังที่เดินเรื่องแบบเรื่อยๆ ไม่ได้เร่งเร้าอะไรก็อาจจะแอบเบื่อหนังเรื่องนี้ก็ได้ เพราะตัวหนังเองก็ถือว่าเดินเรื่องในระดับที่ไม่เร็วนัก จนจุดนี้ก็เป็นจุดอ่อนประการหนึ่งของหนังครับ ที่มันเดินเรื่องช้าไปในบางวาระ แล้วหนังยังยาวตั้ง 2 ชั่วโมง 20 นาทีด้วย ซึ่งแม้ผมจะชอบหนังเรื่องนี้ก็ตาม แต่ก็ยอมรับครับว่าบางช่วงก็แอบเบื่อนิดๆ และคิดว่าถ้าหนังซอยให้กระชับกว่านี้สักหน่อยก็น่าจะดีเหมือนกัน

พลังสำคัญของหนังเรื่องนี้นอกจากจะอยู่ที่บทที่มาพร้อมความซ่อนเงื่อนแล้ว ก็ต้องยกให้การแสดงระดับทีเด็ดของแต่ละคนที่เล่นกันได้ดีมากๆ ครับ ทุกคนเพิ่มความน่าสนใจให้กับหนังได้อย่างยอดเยี่ยม นอกจากชื่อที่ผมเอ่ยไปแล้วก็ยังมี Chris Hemsworth มาแสดงด้วย ซึ่งผมก็จะไม่บอกน่ะนะครับว่าบทของเขาคืออะไร แต่บอกได้ว่าทุกคนล้วนสวมวิญญาณตัวละครของตนเองได้อย่างน่าปรบมือ ทำให้หนังสนุก เข้มข้น น่าติดตาม และทำให้เราอินไปกับเรื่องราวได้ในหลายวาระทีเดียว

หนังเรื่องนี้จะว่าไปก็เขียนยากครับ เพราะไม่ควรเล่าอะไรเลย อยากให้ทุกท่านได้ลองไปชมเองมากกว่า ซึ่งนอกจากของดีจะอยู่ที่การแสดงแล้ว ลีลาการกำกับภาพของ Seamus McGarvey (Atonement, The Avengers, The Greatest Showman) ก็เสริมอารมณ์ลึกลับได้อย่างพอเหมาะ หลายฉากก็เล่นกับแสงสีของไฟในโรงแรมได้สวยมากๆ ตามด้วย เพลง Soundtrack ที่คัดมาได้เหมาะกับสถานการณ์แต่ละฉากอย่างพอดิบพอดี แล้วก็ดนตรีประกอบของ Michael Giacchino รายนี้ก็ทำดนตรีออกมาได้อารมณ์หนังลึกลับสไตล์เก่าอย่างยิ่งทีเดียว

แต่ก็ต้องบอกก่อนนะครับว่าถ้าใครคาดหวังอะไรที่มันว้าว! เหวอ! พลิกความคาดหมายแบบที่ Goddard เคยทำไว้ใน The Cabin in the Woods ล่ะก็ กับเรื่องนี้มันอาจจะไม่ได้เป็นอะไรแบบนั้นครับ แต่ผมมองว่าหนังมีความพอดีในแบบที่มันควรจะเป็น มีความพอเหมาะในทิศทางของเรื่องราว มันออกแนวฝนตกขี้หมูไหลอะไรแบบนั้นน่ะครับ

สำหรับในแง่ของรายได้ก็น่าเสียดายครับที่หนังไม่ทำเงินนัก หนังลงทุนไปประมาณ $32 ล้าน (แต่เชื่อว่าต้องมีงบโฆษณาบวกจากนี้อีก) แต่ทำเงินทั่วโลกไปแค่ $31 ล้าน (ในอเมริกาทำไปแค่ $17 ล้านครับ) ก็ถือว่าติดตัวแดงครับ

เอาเป็นว่าอยากลองให้ดูกันครับ

สองดาวครึ่งครับ

(7/10)