Bill & Ted’s Bogus Journey (1991) บิลล์กับเท็ด ตอน สองหุ่นยนต์เขย่าโลก

Untitled06181

ภาคแรกทำเงินไปเกินความคาดหมายของผู้สร้าง ดังนั้นการสร้างภาคต่อก็เป็นของแน่นอนล่ะครับ

หนนี้คู่หูคู่ซี้ บิลล์ (Alex Winter) กับ เท็ด (Keanu Reeves) ต้องเผชิญหน้ากับความตายเมื่อวายร้ายจากโลกอนาคตอย่าง เดอ โนโมลอส (Joss Ackland) ได้ส่งหุ่นยนต์ 2 ตัวที่หน้าเหมือนบิลล์กับเท็ดแบบเด๊ะๆ ย้อนเวลากลับมาและฆ่าบิลล์กับเท็ดซะ เพื่อที่จะได้เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ ทำให้โลกอนาคตไร้ซึ่งเสียงดนตรี

และพวกหุ่นก็ทำสำเร็จด้วยครับ มันฆ่าบิลล์กับเท็ดตายจริงๆ ทว่านั่นกลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นการผจญภัยครั้งใหม่่ เมื่อพวกเขาต้องท่องไปในโลกแห่งความตาย ได้เจอกับยมฑูต (William Sadler) แต่กระนั้นพวกเขาก็ไม่ยอมตายง่ายๆ หรอกครับ เพราะเจ้า 2 หุ่นนั่นยังอยู่และมันอาจทำอันตรายคนที่พวกเขารักก็ได้ ดังนั้นบิลล์กับเท็ดและพยายามต่อรองกับท่านยมเพื่อที่จะได้ฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้ง

อย่างที่ผมเคยบอกไว้ตอนเขียนถึงภาคแรกครับ ว่าผมนั้นดูวีดีโอภาคนี้ก่อน (เหตุผลก็เพราะตอนนั้นภาคนี้ออกเป็นวีดีโอก่อนครับ แล้วภาคแรกค่อยออกตามมาในอีกหลายปีให้หลัง) และผมก็ชอบมากๆ ถึงขนาดซื้อเก็บไว้เลยครับ เพราะพล็อตมันสนุก ดูโม้ๆ เหมือนหนังการ์ตูน มีความเป็นแฟนตาซีและมีอะไรให้ขำอยู่เรื่อยๆ และผมค่อนข้างชอบคาแรคเตอร์ของบิลล์กับเท็คครับ ผมว่าพวกเขาเจ๋งดี เลยเอามาดูซ้ำอยู่หลายรอบเหมือนกันในตอนนั้นน่ะนะครับ

ครั้นพอมาดูตอนโตขึ้น ความคิดความชอบก็อาจจะมีเปลี่ยนไปบ้าง มาตอนนี้ผมมองว่าภาคแรกมีความกลมกล่อมลงตัวและมีความพอเหมาะพอดีมากกว่า ในขณะที่ภาคนี้จริงๆ ลูกเล่นเยอะกว่าภาคแรกครับ เพราะบิลล์กับเท็ดต้องไปท่องโลกนรก ไปบุกแดนสวรรค์ และกลับมาสู้กับหุ่นยนต์ตัวร้ายที่หมายฆ่าพวกเขา ซึ่งตัวพล็อตนี่ผมว่าเข้าท่าและจินตนาการจัดเต็มมากกว่าภาคแรก แต่จุดที่ออกจะพร่องไปสักหน่อยคือการเดินเรื่องครับ บางจังหวะก็มีบ้างที่อืดช้าไป (ในขณะที่ภาคแรกเดินเรื่องค่อนข้างเร็วครับ) และมีอีกหลายๆ จุดที่ยังทำให้หนังสนุกได้อีกหากมีการเพิ่มลีลาและลูกเล่น (ในเชิงการเล่าเรื่อง) ลงไปอีกสักหน่อย

ส่วนหนึ่งอาจเพราะนี่ปเ็นงานกำกับหนังใหญ่ชิ้นแรกของ Peter Hewitt ครับ ชั่วโมงบินของเขาก็อาจจะยังไม่มาก ลีลาลูกเล่นในการเล่าเลยอาจจะยังไม่เยอะ แต่ที่พูดแบบนี้ไม่ได้แปลว่าหนังไม่สนุกนะครับ จริงๆ มันก็ดูได้เพลินๆ และยิ่งเราดูแบบไม่คิดมากแล้ว ผมเชื่อว่าหนังจะสามารถตอบโจทย์ความบันเทิงให้กับคนดูได้อย่างดีทีเดียวล่ะ

Untitled06182

จุดเด่นของภาคนี้ยังคงเป็นการแสดงบ๊องๆ ต๊องๆ ฮาๆ ของ Winters และ Reeves ซึ่งถือเป็นเสน่ห์สำคัญของหนังชุดนี้ครับ คาแรคเตอร์ที่ดูจะสมองน้อยสักหน่อย (แต่จริงๆ พวกเขาก็มีมุมฉลาดนะครับ) แต่ถึงจะดูเป็นแบบนั้นแต่พวกเขาก็มีความน่ารัก มีความจริงใจ และที่สำคัญคือมีความมุ่งมั่นที่จะทำอะไรก็ตามที่พวกเขาเห็นว่า “ต้องทำ” ให้สำเร็จลุล่วงให้ได้ ไม่ว่ามันจะยากหรือดูเป็นไปไม่ได้แค่ไหนก็ตาม

และที่ลืมไม่ได้เลยก็คือ พวกเขาเป็นคนดีครับ แม้จะดูต๊องบ้างอะไรบ้าง แต่จิตใจของพวกเขาใสซื่อบริสุทธิ์ มีความปรารถนาดีให้กับคนรอบข้างเสมอ จนผมไม่แปลกใจเลยครับว่าทำไมคนดูจำนวนมากถึงชื่นชอบพวกเขาทั้ง 2 มากนัก ก็เพราะพวกเขาน่ารักมากๆ แบบนี้นี่แหละ ซึ่งจะว่าไปแล้วก็หายากในหนังวัยรุ่นนะครับ ส่วนใหญ่ตัวละครถ้าไม่เป็นพระเอกที่มีสติไปเลย (ต่อให้ต๊องก็ต๊องไม่มาก) ก็จะเป็นตัวต๊องที่บ๊องจนลืมบ้านเลขที่อยู่เสมอ หรือไม่ก็ปัญญาอ่อนจนเกินแกง ในขณะที่บิลล์กับเท็ดนี่ถือว่าอยู่ตรงกลางครับ มีความพอดิบพอดีในคาแรคเตอร์ที่พวกเขาเป็น

และภาคนี้ยังได้ Sadler มาเป็นชูรสชั้นยอดให้กับหนังด้วยครับ พี่ท่านมาเล่นเป็นท่านยมได้อย่างน่าจดจำ ครบเครื่องทั้งความฮาและความเปิ่น (ยิ่งไปกว่านั้นคือความสามารถในการตีเนียน 555) ไปๆ มาๆ นี่ผมว่าพี่ท่านขโมยซีนจาก 2 ตัวเอกไปได้เยอะเลยล่ะครับ จนบอกได้เลยว่าถ้าภาคนี้ขาดตัวละครนี้ไป หนังจะกร่อยลงมากทีเดียว จุดนี้ยกนิ้วให้ Sadler เลยครับ เขาเกิดมาเพื่อบทนี้จริงๆ

George Carlin กลับมารับบทรูฟัส แต่บทของเขาก็ไม่ได้เยอะอะไรครับ ส่วน Ackland ก็สบายอยู่แล้วกับบทตัวร้ายจอมหยิ่งหยองแบบนี้ ซึ่งในจุดนี้จะมีเกร็ดเล็กๆ มาเล่าให้ฟังครับ นั่นก็คือชื่อของตัวร้าย เดอ โนโมลอส (De Nomolos) นั้น มีที่มาจากชื่อของ Ed Solomon คนเขียนบทหนังเรื่องนี้ เอามาสะกดกลับหลัง แล้วก็ได้ออกมาเป็น เดอะ โนโมลอสนี่แหละครับ (ก็เป็นกิมมิคที่น่ารักดีนะครับ)

แรกเริ่มเดิมทีทีมผู้สร้างได้มีการไปตามให้ Stephen Herek ผู้กำกับภาคแรกกลับมาทำภาคนี้อีกสักหน แต่ Herek ปฏิเสธไปครับ เพราะเขามองว่าตัวหนังภาคแรกโทนก็ดูเบาสาระจนแทบจะเป็นเหมือนหนังล้อเลียนอยู่แล้ว พอมาภาคนี้บทเหมือนจะเบายิ่งกว่าเดิมอีก เขาเลยบอกศาลาไปทำหนังเรื่องอื่นๆ อย่าง Don’t Tell Mom the Babysitter’s Dead และ The Mighty Ducks ที่แม้จะเป็นหนังเบาสมองเหมือนกัน แต่คาแรคเตอร์ตัวละครนั้นจะไม่ดูต๊องมากเท่ากับหนังเรื่องนี้

และพอหนังสร้างเสร็จออกมา ก็ต้องเจออุปสรรคใหญ่ประการหนึ่ง นั่นคือในตอนนั้นค่าย Orion Pictures ผู้สร้างหนังเรื่องนี้กำลังประสบอยุ่ในสภาวะใกล้ล้มละลายครับ ทางค่ายเลยต้องค่ายลิขสิทธิ์หนังที่ตัวเองมีออกไปเพื่อหาเงินมาแก้สถานการณ์ และ Bill & Ted ภาคนี้ก็เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่จะมีการขายสิทธิ์ออกไปด้วย แต่แล้วพอถึงจุดหนึ่งทางค่ายก็เปลี่ยนใจไม่ขายครับ เพราะพวกเขาเชื่อมั่นศรัทธาว่าหนังเรื่องนี้จะต้องประสบความสำเร็จ

ผลลัพธ์ที่ได้ในแง่ของรายได้ก็คือหนังทำเงิน $38 ล้าน เรียกว่าไม่แพ้ภาคแรกเลยครับ แต่ทว่าในแง่ของกำไรนั้นก็ยังไม่มากพอ เพราะภาคนี้ลงทุน $20 ล้าน (จากที่ภาคแรกลงทุนเพียง $10 ล้าน) ก็ถือว่าพอจะเสมอตัวครับ

Untitled06183

เกร็ดที่น่าสนใจอย่างหนึ่งก็๋คือในตอนที่หนังออกฉายนั้น หนังเปิดตัวเป็นอันดับ 2 บน Box Office ครับ ส่วนอันดับ 1 นั่นคือ Terminator 2: Judgment Day ก็เลยเท่ากับว่าตอนนั้นหนัง 2 อันดับแรกของตารางต่างก็เป็นหนังที่ว่าด้วยหุ่นยนต์จากโลกอนาคตย้่อนเวลามาฆ่าตัวละครหลักในโลกปัจจุบัน

สำหรับผมแล้ว หนังเรื่องนี้ผมชอบมากเมื่อตอนยังเด็ก ส่วนตอนนี้โตแล้ว ความชอบอาจลดลงไปบ้าง แต่มันก็ยังดูสนุกครับ ผมยังสนุกกับการได้เห็นบิลล์กับเท็ดมาผจญภัยร่วมกัน สนุกกับการได้เห็นมิติแปลกๆ อย่างนรกหรือสวรรค์ที่พวกเขาต้องไปเผชิญ มันก็เป็นอะไรที่เพลินดีครับ เพัยงแต่หากเทียบในเรื่องความพอดีและความลงตัวทั้งในเรื่องบทและจังหวะการนำเสนอแล้ว ภาคแรกจะดูโอเคกว่าหน่อยหนึ่ง

แต่ก็คงต้องแล้วแต่ความชอบน่ะครับ ใครชอบอะไรที่มันแฟนตาซีหน่อย แปลกๆ หน่อยก็น่าจะชอบภาคนี้ อย่างผมนั้นก็พูดได้ว่าภาคแรกลงตัวกว่า แต่ภาคนี้มีอะไรสนุกๆ ให้เราดูเยอะกว่า

สองดาวกว่าๆ ครับ

Star21

(6.5/10)