Billy Lynn’s Long Halftime Walk (2016) บิลลี่ ลินน์ วีรบุรุษสมรภูมิเดือด

16729498_1523863200977809_740481716697072604_n

จริงๆ หนังเรื่องนี้น่าจะเป็นอะไรที่เข้าทางผมมากเลยครับ เพราะเป็นหนังดราม่าที่จับเอาช่วงเวลาหนึ่งของคนมาบอกเล่า ซึ่งหนังสไตล์นี้ที่ผมชอบก็ยกให้ American Graffiti, Stand By Me และหนังตระกูล Before Sunrise ทั้งหลาย

หนังสไตล์นี้มันก็กึ่งๆ เป็น Coming of Age น่ะครับ เป็นเรื่องที่ตัวละครผ่านได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง และสิ่งที่เรียนรู้นั้นก็มีผลต่อชีวิตเขา (ทั้งด้านบวกและด้านลบ) เพียงแต่เรื่องนี้มันอาจไม่ใช่แนวนั้นแบบตรงๆ เท่านั้นเอง

ตัวเอกคือบิลลี่ ลินน์ (Joe Alwyn) ทหารผ่านศึกอิรักวัย 19 ปีที่กลับมาอเมริกาเพื่อโชว์ตัวน่ะครับ ประมาณว่าพอเขาและเพื่อนร่วมกองมีผลงาน พวกเขาก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษสงคราม แล้วก็ได้รับโอกาสให้เป็นเหมือนประชาสัมพันธ์ของกองทัพ ออกทัวร์ออกโชว์ตัวอะไรประมาณนั้น

และนอกจากนี้เขายังพาศพของเพื่อนร่วมสมรภูมิกลับมาฝังยังบ้านเกิดอีกด้วย แล้วหนังก็เล่าเรื่องระหว่างที่เขามาโชว์ตัวตามคำเชิญของนอร์ม (Steve Martin) นักธุรกิจชื่อดัง ตัดสลับกับเล่าเหตุการณ์ในสงครามที่บิลลี่พบเจอมา

หลังดูหนังจบแล้วผมก็ต้องมานั่งนิ่งๆ เพื่อสำรวจตัวเองว่าตกลงเรารู้สึกยังไงกับมัน สารภาพครับว่าระหว่างดูมันกึ่มๆ อยู่ไม่น้อย มันมีจุดที่เข้าท่าผสมกับจุดที่ดูแล้วเฉยๆ แล้วก็มีบางจังหวะที่เรารู้สึกว่าทำไมหนังดราม่าเรื่องนี้ถึงไม่พยายามขยี้อารมณ์เราสักเท่าไรเลยแฮะ

ในแง่เนื้อเรื่องหนังเล่าเรื่องราวให้เราทราบว่าบิลลี่พบเจอเรื่องราวอะไรมา ทำให้รู้ว่าครอบครัวของบิลลี่มีปูมหลังเป็นเช่นไร และทำให้รู้ว่าสภาวะจิตใจของบิลลี่และเพื่อนร่วมกองร้อยนั้นบอบช้ำอย่างไรบ้าง… โอเค หนังเล่าเนื้อหาให้เราได้ทราบประเด็นจนครบครับ แต่มันเป็นการเล่าที่ยังไม่กระจ่างและยังไม่ก่อให้เกิดอารมณ์ร่วมเท่าที่ควร

คือผมดูจบแล้วเข้าใจน่ะครับว่าใครรู้สึกยังไง แต่กลวิธีการเล่ามันเหมือนเล่าไปเรื่อยๆ ไม่ได้มีการเน้นหรือขยี้อารมณ์ให้เราจดจำโมเมนต์ต่างๆ ได้แบบชัดๆ แล้วยิ่งหนังมาเล่าแบบตัดสลับระหว่างอดีตกับปัจจุบันด้วยแล้ว มันเลยเหมือนหนังไม่มีโฟกัสที่ชัดเจน เหมือนจู่ๆ จะเล่าเรื่องปัจจุบันก็เล่าไปสักพัก แล้วจู่ๆ ก็ตัดไปเล่าอดีตอีกแป๊บหนึ่งแล้วก็กลับมาปัจจุบันใหม่ สลับไปสลับมา แต่เป็นการสลับที่บางครั้งก็ไม่ได้สัมพันธ์กันสักเท่าไร

จริงๆ หากหนังเล่าแบบ A B C D ไปตามลำดับมันอาจจะโอเคกว่านี้น่ะครับ แต่พอหนังเล่าแบบตัดสลับแต่ทว่าแต่ละฉากที่เล่านั้นมันไม่ได้มีโมเมนต์ให้จดจำ มันเลยไม่ได้อารมณ์ร่วม และที่สำคัญคือแต่ละฉากมันเป็นการเล่าเรียบๆ ไม่ได้มีประเด็นใหญ่ๆ ประจำฉากยิงมาที่ความรู้สึกคนดู มันเลยดูเรื่อยเปื่อยน่ะครับ

ส่วนสาระประเด็นที่หนังนำเสนอจริงๆ ก็เป็นสาระคลาสสิกสำหรับหนังทหารผ่านศึกน่ะครับ ไอย่างเช่น “บาดแผลชีวิต” ที่ทหารหาญต้องไปเผชิญ และมันเป็นบาดแผลที่ไม่มีใครจะเข้าใจยกเว้นเพื่อนร่วมรบเท่านั้น (อันนำมาสู่ฉากตอนท้ายที่บิลลี่กับเพื่อนร่วมกองพูดกันในรถน่ะครับ เป็นฉากที่สรุปเรื่องนี้ได้ชัดมาก)

แต่ที่แย่กว่าคือพอพวกเขากลับมายังประเทศบ้านเกิด เขาก็ต้องเจอกับคนหลายๆ ประเภทที่บั่นทอนความรู้สึกของพวกเขา ไม่ว่าจะครอบครัวที่ไม่เข้าใจเขา, พวกนักการเมืองที่หวังเอาประโยชน์จากพวกเขา หรือนักธุรกิจที่ชอบใช้วาทกรรมความเป็นอเมริกันเพื่อตักตวงประโยชน์บางอย่างจากพวกเขา

ฉากที่พวกบิลลี่เขม่นกับยามคุมสถานที่เป็นอะไรที่ชวนให้สลดครับ เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นเรื่องจริง และไม่ได้เกิดกับพวกบิลลี่เท่านั้น แต่ที่ไหนก็ตามที่คนไม่เปิดใจกัน ไม่พยายามจะเข้าใจกัน หรือไม่พยายามใส่ใจกัน มันก็จะเกิดเรื่องร้าวฉานต่อยตีแบบนี้ตามมาเสมอ… ในสงครามเราอาจต้องฆ่ากันเพราะอยู่คนละฝ่าย แต่ในประเทศเดียวกันล่ะ? เราแทบจะฆ่ากันเพราะอะไร?

ส่วนสงครามนั้น… แทบไม่ต้องพูดถึงน่ะครับ มันไม่ได้สวยงามหรอก คนต้องมาฆ่ากัน ยิงกัน เอาให้ตาย ไม่เขาตายเราก็ตาย… มันอาจมีเหตุผลมากมายที่คนต้องทำเช่นนั้นต่อกัน แต่แม้จะรู้เหตุผลที่ว่าแค่ไหน ใจเราก็ไม่อาจรู้สึกสงบได้อยู่ดียามที่ได้ยินคำว่า “สงคราม”

หนังเรื่องนี้ของ Ang Lee ทำให้นึกถึง Hulk ครับ คือมันมีประเด็นที่ดีนะ แต่การเล่ามันไม่เกิดพลังเท่าไร อารมณ์มันไม่มาเท่าที่ควร และบางจังหวะคนดูก็ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรกับหนัง เพราะความเนิ่บจนอารมณ์คนดูนิ่งไปนี่แหละ

สองดาวครับ

Star21

(6/10)