Black Crab สงครามบนผืนน้ำแข็งที่แปลกใหม่ ระทึกตื่นเต้นเร้าใจตั้งแต่ต้นจนจบ

ภาพยนตร์แอ็กชั่นสงครามในโลกหลังหายนะของ Netflix สวีเดน เรื่องราวของทหารหกนายในภารกิจลับที่สามารถตัดสินผลแพ้ชนะสงครามได้เลย โดยต้องขนส่งพัสดุลึกลับข้ามหมู่เกาะที่กลายเป็นน้ำแข็ง นำแสดงโดย นูมิ ราเพซ ความยาว 1 ชั่วโมง 54 นาที มีพากย์ไทย

เรื่องย่อ Black Crab

เอียดห์ (แสดงโดย นูมิ ราเพซ) แม่เลี้ยงเดี่ยวลูกสาวคนเดียวที่ต้องมากลายเป็นทหารหญิง หลังเกิดสงครามขึ้นฉับพลัน เธอได้รับมอบหมายให้ส่งพัสดุลึกลับที่เรียกว่าภารกิจ “แบล็คแคร็บ (ปูดำ)” ที่สามารถหยุดสงครามครั้งนี้ได้ แต่ต้องเดินทางด้วยสเก็ตน้ำแข็งผ่านทะเลพร้อมด้วยทหารอีก 5 คน เพื่อไปยังเป้าหมายที่ห่างไกลกว่า 100 ไมล์ทะเล  โดยมีเป้าหมายแรงจูงคือการไปพบลูกที่หายตัวไปในอดีต

รีวิว

ภาพยนตร์แอ็คชั่นระทึกขวัญของสวีเดนที่มีแบ็คกราวด์อยู่ในโลกหลังหายนะที่ถูกทำลายล้างด้วยสงคราม ผ่านการเดินทางด้วยสเก็ตน้ำแข็งที่ถือว่าแปลกใหม่เลยในหนังสงครามแบบไม่เคยมีมาก่อนแน่ๆ ที่ใช้ฉากผืนน้ำแข็งเป็นโลเกชั่นหลัก ซึ่งโดยปกติหนังสงครามเราจะได้เห็นฉากระเบิด พื้นดินระเบิด ไฟไหม้ อะไรต่างๆ เหล่านี้ที่ชวนให้คิดทันทีว่าถ้าไปวางเรื่องราวไว้บนผืนน้ำแข็งที่เปราะบางแตกง่ายจะเป็นเช่นไร มันเป็นโจทย์ที่ท้าทายมาก และหนังเรื่องนี้ก็สามารถสร้างมันออกมาได้แปลกใหม่ชวนระทึกได้ตลอดเรื่องจริงๆ

ตัวหนังสร้างจากนิยายมีชื่อเสียงของนักเขียน Jerker Virdborg  ซึ่งการที่เป็นนิยายมาก่อนก็ทำให้ตัวเรื่องละเอียดมีเนื้อหาลึกมากกว่าหนัง Netflix โดยทั่วไปแบบเห็นได้ชัด และที่น่าแปลกใจคือผู้กำกับ อดัม เบิร์ก (Adam Berg) ดูจากผลงานที่ผ่านเคยกำกับแค่หนังสั้นสองเรื่อง นอกนั้นเป็นมิวสิควิดีโอ นี่จึงเป็นผลงานหนังเต็มตัวเรื่องแรกของเขา และยังได้ดาราชื่อดังอย่าง นูมิ ราเพซ มาแสดงนำ พร้อมกับงานโปรดักชั่นที่ใหญ่โต ถือว่าไม่ธรรมดาเลยสำหรับหนังสร้างจากเน็ตฟลิกซ์ (เท่าที่สืบค้นเรื่องนี้ไม่เคยได้ฉายโรงมาก่อน มีแค่เปิดตัวในงานเทศกาลครั้งเดียวเท่านั้น)

จุดเด่นสุดของเรื่องนี้คือฉากสงครามผ่านการใช้สเก็ตน้ำแข็งในทะเลน้ำแข็ง ซึ่งตัวเรื่องในส่วนนี้มีถึงราวๆ 70% ของเรื่อง เรียกว่าเป็นงานขายฉากแอ็กชั่นสงครามบนผิวน้ำแข็งที่แปลกตามาก เริ่มตั้งแต่การเล่นสเก็ตหลบหลีกการโจมตีข้าศึกแบบต่างๆ ซึ่งในเรื่องใส่มาแทบครบเลยดีกว่า ตั้งแต่ฮอไล่ยิง ปืนกล สไนเปอร์ หรือแม้แต่จรวดหัวรบยิงถล่มก็มี เพียงแต่ไม่ได้ตกลงที่พื้นนำ้แข็งโดยตรง แต่ก็เป็นฉากใหญ่เปิดเรื่องก่อนลงพื้นน้ำแข็งที่ทำให้เห็นเลยว่างานโปรดักชั่นรวมถึง CG ของเรื่องนี้ไม่เล็กเลย

ส่วนใครที่คิดว่ายิงกันขนาดนั้นแล้วพื้นน้ำแข็งไม่แตกหรือไง ในเรื่องก็อาจจะมีจุดที่ดูเว่อร์ๆ อยู่บ้าง แต่หลายฉากก็ทำให้เราพอเชื่อได้ แล้วก็มีพวกอุบัติเหตุจากน้ำแข็งแตกจากการเดินทางรวมอยู่ด้วย รวมถึงฉากดำไปใต้น้ำ ซึ่งภัยอันตรายทุกอย่างที่เกิดกับผืนน้ำแข็งในเรื่องนี้มีไว้หมด รวมถึงพวกฉากโลกหายนะในทะเลน้ำแข็ง อย่างเรือโดยสารถูกแช่งแข็งครึ่งลำ สุสานศพใต้น้ำแข็ง ในหนังอธิบายไว้ว่าเป็นครั้งแรกใน 37 ปีที่ทะเลกลายเป็นน้ำแข็งหมด แต่ไม่ได้บอกสาเหตุไว้ แต่ก็น่าจะเกิดจากผลกระทบจากสงครามในเรื่องนี้  นอกจากนั้นวิวเวิ้งว้างกลางทะเลน้ำแข็งในเรื่องยังดูสวยแปลกตา จนสงสัยว่าถ่ายทำกันได้ยังไงถ้าไม่ใช้ CG ซึ่งเนียนจนแยกไม่ออกจริงๆ

ตัวผลกระทบในเรื่องนี้ก็ไม่ได้จำกัดแค่ในทะเลน้ำแข็ง แต่ในเรื่องนี้ยังรวมถึงพื้นดินด้วยที่มีแต่ความหนาวเหน็บทั้งเรื่อง ซึ่งบางครั้งกลุ่มตัวเอกก็ต้องขึ้นไปพื้นดินบ้าง แต่ก็ไม่มีการได้หยุดพักกันจริงๆ เลยสักครั้ง เพราะในเรื่องนี้ทุกครั้งที่หยุดพักจะมีฉากยิงกันตามมาเสมอ เป็นหนังที่ขยันใส่ฉากยิงกันมาต่อเนื่องแบบแทบไม่มีพักเบรคอะไรกันเลย ตอบโจทย์คอหนังสงครามยิงกันได้แน่นอน และตัวละครทั้งหมดของเรื่องก็มีส่วนในการสู้รบทั้งหมด ไม่ได้โฟกัสที่นางเอกเพียงคนเดียว ทุกคนมีบทบาทกับการเดินเรื่องช่วยทั้งการรบและส่งบทดราม่า แน่นอนว่าต้องมีคนตาย ตัวเรื่องจะค่อยๆ ตัดตัวละครน้อยลงไปเรื่อยๆ แต่ทุกคนก็มีบทบาทตอนตายเป็นซีนดราม่าชวนหดหู่ไปกับเรื่องได้พอสมควร (ยกเว้นคนแรกที่อาจจะปุ๊บปั๊บไปหน่อยเท่านั้น) ซึ่งตัวหนังก็สะท้อนความโหดร้ายของสงครามออกมาได้ดีเลย

นอกจากนี้แล้วตัวเรื่องยังมีปมหลักที่ชวนให้น่าสงสัยแต่แรกว่า ของในภารกิจนี้คืออะไร ทำไมถึงตัดสินแพ้ชนะสงครามได้เลย ซึ่งปมนี้ถูกผลักดันไปควบคู่กับเป้าหมายของนางเอกที่ต้องการไปพบลูกสาวในจุดหมายปลายทางแบบมุ่งมั่นเอาชีวิตเข้าแลก จนทำให้การตัดสินใจของตัวนางเอกในบางครั้งดูแย่เพราะไม่คิดถึงคนอื่นในทีมเลย ซึ่งทั้งหมดจะมีที่มาที่ไปโดยตอนเปิดเรื่องเราจะได้เห็นฉากจุดเริ่มสงครามวันแรกที่มีการก่อการร้าย และอาจจะทำให้เธอสูญเสียลูกสาวไปในวันนั้น แต่ในฝันระหว่างพักสั้นๆ ทุกครั้งเรื่องจะแฟลชแบ็คเล่าย้อนกลับไปว่าเธอกับลูกใช้ชีวิตยังไงในช่วงสงคราม ซึ่ปมนี้ถูกทำให้คลุมเครือเป็นความลับตลอดเรื่องว่า จริงๆ แล้วเหตุการณ์ในตอนเปิดเรื่องเป็นยังไงกันแน่ โดยทั้งสองปมนี้จะถูกเฉลยในตอนท้าย และยังผลักดันเรื่องราวไปต่อได้อีกในองค์สุดท้าย ไม่ใช่แค่จบภารกิจตอนต้นเท่านั้น ซึ่งในองค์สุดท้ายตัวเรื่องถูกพลิกมาเป็นอีกแนวที่ไม่ใช่ฉากยิงกันในสงคราม แต่เป็นฉากภารกิจสุดท้ายจากการตัดสินใจของตัวละครที่เหลือรอดอยู่ว่าจะจบสงครามนี้ลงแบบไหน ซึ่งช่วยเคลียร์ปมเรื่องราวลูกของนางเอกพร้อมกับภารกิจหยุดสงครามได้ค่อนข้างดีเลย แม้จะมีกังขาอยู่บ้างว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น แต่นั่นก็ไม่ใช้พ้อยท์หลัก เพราะหัวใจหลักของเรื่องคือความรักของแม่ที่มีต่อลูกที่ช่วยขับเคลื่อนเรื่องราวทั้งหมดมาถึงจุดนี้ (มีช่วงเอนเครดิตสวยๆ ประกอบให้เห็นด้วย)

ตัว นูมิ ราเพซ เองก็ยังเหมาะสมกับบทบาทสายบู๊แนวนี้ที่เธอน่าจะถนัดมากถึงรับเล่นอยู่บ่อยๆ ในเรื่องเธอไม่ใช่แค่แม่นักสเก็ตที่กลายมาเป็นทหาร แต่แทบจะเป็นตัวละครแนวฮีโร่หญิงเลยก็ได้ เพราะตั้งแต่เปิดเรื่องมาก็มีฉากที่เธอเอาตัวรอดแบบฉับพลันจากคนรุมทำร้าย มีฉากยิงกันที่เธอมีสกิลใช้อาวุธได้อย่างชำนาญมาก ขนาดสไนเปอร์ก็ยังใช้ได้ทันที ซึ่งอาจจะดูเว่อร์ๆ บ้างกับแนวหนังสงครามที่คนอะไรจะเก่งขนาดนี้ แต่ฉากพวกนี้ของเธอก็ทำออกมาได้สนุกตื่นเต้นจนคนดูไม่น่าจะติดใจอะไรกับเรื่องพวกนี้ครับ

ส่วนจุดด้อยของเรื่องก็มีเล็กน้อย อย่างการที่บางฉากดูโม้ๆ เว่อร์ไปสักหน่อยว่ายิงกันขนาดนั้นทำไมน้ำแข็งไม่แตก กับเรื่องราวของสงครามที่เรื่องแทบไม่ให้เรารู้เลยว่าสวีเดนไปรบกับใคร แต่มองจากชุดศัตรูที่ใส่ชุดขาวน่าจะเป็นทหารรัสเซีย ซึ่งแบ็คกราวด์ของสงครามในเรื่องค่อนข้างน้อยมากจนเราไม่รู้เลยว่าเกิดขึ้นได้ยังไง แต่ตรงนี้ก็เหมือนผู้สร้างไม่ได้ต้องการเน้น จึงมองข้ามไปก็ได้ แต่จริงๆ น่าจะมีการเล่าสั้นๆ ให้พอเข้าใจโครงสร้างโลกในเรื่องสักหน่อย เพราะมันมีส่วนสำคัญกับสิ่งของที่เป็นภารกิจสำคัญในเรื่องตรงๆ ว่ากำลังรรบกับใคร ถึงต้องใช้เจ้าสิ่งนี้เพื่อหยุดสงครามครั้งนี้

สรุป Black Crab สนุกและดีไหม

สนุกตอบโจทย์คนดูหนังสงครามได้แน่ๆ และตัวเรื่องราว