BLACK PANTHER: WAKANDA FOREVER – แบล็ค แพนเธอร์: วาคานด้าจงเจริญ
— 6/10 —
หนังอุทิศแด่ Chadwick Boseman อย่างแท้จริง
แต่…ไร้เสน่ห์อย่างน่าใจหาย
การเสียชีวิตของ Chadwick Boseman ต่างสร้างความเศร้าโศกเสียใจให้แก่แฟนคลับ MCU ไปทั่วโลก และถือเป็นการสั่นคลอนทิศทางของตัวละคร Black Panther อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แน่นอนว่าแนวทางในภาค 2 ต้องผิดไปจากที่วางแผนเป็นแน่แท้ และทั้งหมดทั้งมวลนั้นก็ได้ถูกรังสรรค์เรื่องราวออกมาเป็น Black Panther: Wakanda Forever หนังปิด Phase 4 ของ Marvel ในภาคนี้อย่างที่เราได้เห็นกัน และตัวหนังก็เป็นการอุทิศให้แก่ Chadwick Boseman อย่างแท้จริง แต่การขาดเขาไป ทำให้ตัวหนังไร้สเน่ห์ไปเลย
ในภาคนี้จะเป็นเรื่องราวที่บอกเล่าถึงชาว Wakanda ที่เพิ่งจะสูญเสียกษัตริย์อันเป็นที่รักอย่าง T’Challa ไป ขณะที่ดินแดนกำลังสั่นคลอน เขาต้องเผชิญหน้ากับภัยครั้งใหม่จากดินแดนใต้มหาสมุทรที่นำโดย Namor
อย่างที่ได้กล่าวไปในย่อหน้าแรกว่าการขาด Chadwick Boseman ไปทำให้หนังขาดเสน่ห์มาก ๆ อย่างในภาคแรกยังมีตัว Chadwick เอง และ Michael B. Jordan ที่เท่มาก ๆ พอมาในภาคนี้ถึงแม้ตัวละครอื่น ๆ จะยังเป็นตัวละครที่เราคุ้นหน้าค่าตาและรู้จักมาก่อนก็ตาม มันก็ไม่มีตัวละครใดมีเสน่ห์มากพอที่จะดึงดูดความน่าสนใจให้กับตัวหนังได้เลย ไม่ได้รู้สึกผูกพันจนอยากเอาใจช่วยตัวละครไหนเลย
ไม่ใช่ว่าแสดงไม่ดีนะ ตัวละครอย่าง Okoye (Danai Gurira) ถือว่าโดดเด่นและทำได้ดีมาก ๆ หรืออย่างราชินี Ramonda (Angela Bassett) นี่เล่นได้ทรงพลัง คือทั้งคู่ทำได้ดีเลยจริง ๆ ดีแบบโดดมาจากตัวละครอื่นเลย อยากให้สองตัวละครนี้มีบทมากกว่านี้ซะอีก ส่วนตัวละครอื่นเฉย ๆ มาก ทั้ง Shuri (Letitia Wright) ที่ถึงแม้จะเป็นตัวเอก แต่ก็ขาดเสน่ห์มาก ๆ หรือจะเป็น Nakia (Lupita Nyong’o) ที่ไม่ได้มีอะไรโดดเด่น รวมถึงการปรากฏตัวของ Riri (Dominique Thorne) ก็เป็นการเปิดตัวที่ไม่หวือหวาไม่ได้น่าติดตามต่อ หรือแม้กระทั่ง Namor (Tenoch Huerta) ที่การแสดงคงไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาคือบทเนี่ยแหละเหมือนจะมาดี ปูมาซะโหด ซะยิ่งใหญ่ แต่ก็กลายเป็นตัวร้ายง่อย ๆ ตัวหนึ่ง เหตุผลและแรงจูงใจมันไม่มีน้ำหนักมากพอที่จะสร้างจุด conflict ได้ขนาดนั้น พอตัวละครอื่น ๆ มันไม่นำพา ซีนท้ายเรื่องที่มันควรจะ Epic กลับราบเรียบ กลายเป็นซีนธรรมดาไปเลย หรือแม้กระทั่งฉากสู้ต่าง ๆ ก็เฉย ๆ เช่นกัน
และการขาด Chadwick Boseman ก็ส่งผลถึงเรื่องบทด้วย ถึงแม้จะหาทางออกกับตัวละครนี้ได้สมเหตุสมผล แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าเรื่องนี้ทำให้การดำเนินเรื่องและบทมันไม่สุดสักทางจริง ๆ มันยังสะเปะ สะปะ ที่พอจะเอาตัวรอดมาได้เท่านั้น เข้าใจว่าหนังตั้งใจทำมาเป็นการสดุดี ให้เกียรติ และระลึกถึง Chadwick Boseman ในบท T’Challa หรือ Black Panther แต่หนังพยายามบิ้วให้ดราม่าตลอดทั้งเรื่องจนมากเกินไป คือดราม่าพอมีมันก็ดี คือหนังมันกำลังก้าวไปดำเนินต่อและหลายฉากมันกำลังดีเลย แต่ก็ต้องมีบทพูดมาสารธยายความเศร้า เรื่องวิญญาณ เรื่องการจากไป เรื่องบรรพบุรุษ คือมีบ้างจะไม่แปลก จริง ๆ ช่วงแรกกับช่วงท้ายก็พอแล้ว แต่นี่มันบ่อยเกินไปมั้ย การมีซีนอารมณ์บ่อยเกินไป มันเสียเวลาไปมาก ยืดเยื้อเกินจำเป็น รวม ๆ คือบทในภาคนี้มันเวิ่นเว้อมาก แต่บางจุดก็รีบเกินไป
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น งานภาพก็ยังคงงดงาม และน่าประทับใจไม่น้อย สภาพบ้านเมืองของ Wakanda, พิธีกรรมของ Wakanda, ฉากต่าง ๆ ก็ทำออกมาได้ดี แต่กลับกันสภาพเมือง Talokan ของ Namor กลับไม่ชวนว้าวเท่าไหร่ หากเทียบกันกับเมืองใต้น้ำใน Aquaman แล้ว ทาง DC ทำได้สวยกว่าเยอะเลย
หากถามว่าหนังเรื่องนี้สนุกมั้ย ตอบตามตรงว่าไม่ เพราะด้วยความที่ขาด Chadwick Boseman ตัวละครอื่นก็ขาดเสน่ห์ หนังจึงจำใจต้องมาในแนวทางแบบนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็พอเข้าใจได้ แต่พอทำออกมาแล้วมันไม่สุด ไม่ถึงจุด จึงทำให้รู้สึกเฉย ๆ ไปกับทั้งเรื่องเลย
ถึงแม้ Black Panther: Wakanda Forever จะเป็นหนังปิด Phase 4 แต่มันก็ไม่ได้สร้างความน่าตื่นเต้นในการอยากติดตามต่อสักเท่าไหร่ ในภาพรวมของ Phase 4 นอกจาก Spider-Man: No Way Home (2021) ที่เซอร์วิสแฟนแบบจัดเต็ม ครบทุกอารมณ์ และ Doctor Strange in the Multiverse of Madness (2022) ที่มาในแนวที่น่าสนใจ ก็ไม่มีเรื่องไหนเลยที่ประทับใจ โดยส่วนตัวถือว่าเป็น Phase ที่น่าผิดหวังพอสมควร
ปล. หนังมีฉาก Mid-Credit อยู่หนึ่งตัวที่ไม่ควรพลาด