ดูเรื่อง Blacklight นี่ก็เพราะป๋า Liam Neeson ล้วนๆ ครับ ส่วนหนังจะสนุกมากสนุกน้อยค่อยว่ากันอีกที
พล็อตก็ถือว่ามาในแนวคุ้นเคยครับ ป๋า Liam รับบท ทราวิส บล็อก (Liam Neeson) เจ้าหน้าที่ลับที่ทำงานให้เอฟบีไอ แล้วอยู่มาวันหนึ่งเขาก็ระแคะระคายเงื่อนงำบางอย่างที่บอกว่าเอฟบีไอนี่แหละที่อาจจะมีปฏิบัติการอันไม่ชอบด้วยกฎหมายภายใต้การนำของของผอ.อย่างเกเบรียล โรบินสัน (Aidan Quinn) ซึ่งปเนเพื่อนสนิทของทราวิสด้วย
ถัดจากนั้นก็คงไม่ต้องเล่าน่ะนะครับ มันก็ต้องมีการตามล้างตามล่าตามขู่กันตามสไตล์นั่นแหละ
พูดแบบไม่อ้อมค้อมว่าหนังไม่โดนเท่าไรครับ… คือผมจะเล่าให้ฟังว่าระหว่างดูหนังเรื่องนี้มันได้เกิดเหตุไม่คาดฝันกับผม คือช่วงนี้ผมดูแลสุขภาพครับเลยมีการออกกำลังเสมอยามดูหนัง และระหว่างดูเรื่องนี้ผมก็ออกกำลังเบาๆ ด้วยการแกว่งแขน ปรากฏว่าพอแกว่งแขนไปได้ราวๆ 30 กว่านาทีก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นมา
ผมง่วงครับ… ใช่ครับ ง่วงจะสัปหงกทั้งๆ ที่ยืนแกว่งแขนนี่แหละ แอบคิดเลยครับว่าถ้าไม่แกว่งแล้วนั่งดูนี่ผมอาจหลับไปนานแล้วก็ได้
หนังค่อนข้างนิ่ง เนิ่บครับ พูดก็พูดเถอะว่าที่ดูเนี่ยก็เพราะป๋า Liam แกแสดงนะ ไม่ว่าหนังจะดีแย่แค่ไหน แต่ป๋าแกแสดงได้ดีเสมอ แล้วในเรื่องนี้ป๋าเขายังดูน่าสงสารด้วยครับ เป็นเจ้าหน้าที่ลับที่อยากจะเกษียณแต่ก็เกษียณได้ไม่ง่ายดั่งใจ แล้วเขาก็อยากจะฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างตนกับลูกสาว (Claire van der Boom) ที่สำคัญคือเขามีหลานสาวน่ารักที่เขารักสุดหัวใจด้วย ซึ่งหนูน้อย Gabriella Sengos ที่แสดงเป็นหลานเขานั้นก็น่ารักน่าหยิกเอามากๆ ด้วยครับ ดูแล้วก็เลยอดเห็นใจป๋าเขาไม่ได้ อยากให้เขากับลูกและหลานได้อยู่ร่วมกันพร้อมหน้าดั่งที่เขาฝันไว้
กลายเป็นว่าผมพอไหวนะกับปมดราม่า แต่ที่นิ่งจนเกือบหลับคือบทในส่วนของความระทึกไล่ล่าที่มันไม่ใคร่จะระทึกหรือน่าสนใจสักเท่าไร มันไม่ใช่แค่เดิมๆ ครับ แต่การเล่าเรื่องมันนิ่ง และโดยส่วนตัวผมว่าหนังยังพยายามเล่าเรื่องให้มันเยิ่นเย้อเกินความจำเป็นอีกด้วย ซึ่งเดี๋ยวผมจะขอสปอยล์อีกทีตอนท้าย
หนังกำกับโดย Mark Williams ที่เคยกำกับป๋า Liam มาก่อนใน Honest Thief ซึ่งเรื่องนั้นแม้ว่าจะธรรมดาแต่ก็ยังพอทำเนา ทว่าเรื่องนี้นี่นิ่งมากครับ คือถ้าไม่ได้ป๋า Liam มาพยุงหนังไว้นี่หนังจะโล่งโถงไม่มีอะไรเลย จนไม่แปลกใจน่ะครับที่หนังล่มหนักอยู่ คือลงทุนไปราวๆ $43 ล้าน แต่ได้คืนมา $15 ล้านจากทั่วโลก (ในอเมริกาทำไปแค่ $9.5 ล้านเท่านั้นครับ)
แม้จะเป็นแฟนป๋า Liam แต่หน้าหนังเป็นอย่างไรก็ขอว่าไปตามนั้น เอาเป็นว่าหากจะดูล่ะก็ขอให้เผื่อใจไว้เยอะๆ หน่อยครับ คำว่าคาดหวังนี่อย่าให้มีเด็ดขาด หนังจัดว่าเหมาะกับคนที่เป็นแฟนป๋าเขาน่ะครับ ประเภทว่าเห็นหน้าป๋าแล้วพร้อมจะให้อภัยไม่ว่าหนังจะเข้าท่าหรือไม่ก็ตาม
=============
=============
ทีนี้ขอสปอยล์ล่ะนะครับ
=============
=============
ผมรู้สึกว่าหนังพยายามทำให้เรื่องมันเยิ่นเย้อเกินจำเป็นน่ะครับ จริงๆ หนังมันควรจะลงสูตรประเภทว่าป๋าได้รับงานให้ไปฆ่าใครสักคน แล้วป๋าแกทำไม่ลง เลยมาโดนตามเก็บอะไรทำนองนั้น
แต่หนังเพิ่มความเยิ่นเย้อไปอีกชั้นครับ นั่นคือการให้ตัวละครที่ชื่อดัสตี้ (Taylor John Smith) เป็นคนได้ภารกิจแต่ดันทำไม่ได้แทน แล้วเขาก็โดนตามล่าตามเก็บ กล่าวคือครึ่งแรกของหนังนี่ตัวทราวิสเองไม่ได้เป็นเป้าอะไรกับเขาเลยครับ แค่ใช้ชีวิตไปตามปกติ แล้วก็รอจนครึ่งเรื่องให้หนังเฉลยว่าจริงๆ แล้วดัสตี้ได้รับมอบหมายให้ฆ่าคน แต่เขาไม่ทำ พอทราวิสเริ่มรู้อะไรๆ ก็ได้เวลาให้ดัสตี้โดนฆ่าต่อหน้าทราวิส ทีนี้ทราวิสเลยโดนตามเก็บต่อ
ซึ่งผมว่ามันเยิ่นเย้อโดยใช่เหตุน่ะครับ จริงๆ หนังให้ทราวิสเป็นเป้าตั้งแต่ต้นเลยก็ได้ มันจะได้ไมีการไล่ล่า มีอะไรให้ลุ้น มีการใช้สมองรับมือกับเหล่านักฆ่า ไหนจะต้องปกป้องลูกหลานอีก แต่นี่กลายเป็นว่าครึ่งแรกมันไม่มีอะไรมาก มีฉากล่าแค่ไม่กี่ฉาก และคนที่ถูกล่าก็คือดัสตี้นี่แหละ ส่วนป๋าทราวิสไม่ได้เป็นเป้าก็เลยไม่มีโอกาสได้โชว์อะไรเท่าไร ต้องรอจนครึ่งหลังน่ะครับป๋าเขาถึงเริ่มได้โชว์อะไรบ้าง แต่โชว์ที่ว่านี่ก็ไม่ได้เยอะอะไรด้วยครับ เพราะคนที่มาล่าป๋าน่ะก็ไมได้เก่งกาจอะไรสักเท่าไรเลย
ส่วนตัวมองว่าบทไม่เข้มเท่าไรน่ะครับ พยายามเขียนให้เรื่องมันยาว แต่จริงๆ เล่าสั้นๆ ก็ได้ และเทน้ำหนักมาเน้นที่ป๋าเลยก็ได้ เพราะผมเชื่อว่าคนอยากดูหนังเรื่องนี้ก็เพราะป๋านั่นแหละ ดังนั้นให้ป๋าแกโชว์ไปเลยน่าจะเวิร์กนะ แต่นี่ดันไม่เชิงแบบนั้น
อีกอย่างก็คือตัวร้ายอย่างเกเบรียลและลูกน้องก็ไม่ได้ร้ายกาจอะไรเลยครับ ทั้งๆ ที่เป็น ผอ.เอฟบีไอนะ ทีนี้พอผู้ร้ายไม่เจ๋งไม่เก๋า ความมันส์อันพึงมีก็เลยน้อยลงตามลำดับ
ดาวครึ่งครับ
(5/10)