Poltergeist (2015) โพลเตอร์ไกสท์ วิญญาณขังสยอง

Poltergeist ภาคต้นฉบับ ผมถือว่าเป็นหนังบ้านผีสิงที่ทำออกมาได้กลมกล่อมมากเรื่องหนึ่ง คือในแง่ความสยองมันอาจจะไม่ได้ทะลักทลายแบบ The Evil Dead น่ะนะครับ แต่มันก็สยองใช้ได้ และเป็นหนังที่มีส่วนผสมระหว่างความเป็นหนังดราม่าครอบครัว+สืบสวนเรื่องเหนือธรรมชาติ+ผีดุอาละวาดที่ครบเครื่องอย่างยิ่ง ที่ชอบเป็นพิเศษคือฟอร์มหนังมันดูเป็นเกรดเอระดับเมเจอร์ (มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้นเพราะ Steven Spielberg อำนวยการสร้าง) Effect ก็ได้มาตรฐาน แต่หนังก็สอดแทรกความน่ากลัวสไตล์หนังเกรดบี+สไตล์ดิบๆ ลงไป ทำให้หนังครบรสทั้งดูดีและมีความแหยง ในขณะที่ Poltergeist ฉบับล่าสุด (★★) มันก็ดูมีฟอร์มครับ (แม้ทุนจะแค่ $10.7 ล้าน แต่ก็ดูเป็นหนังเมเจอร์ในระดับหนึ่ง) Effect…

Ninja III: The Domination (1984)

เมื่อนานมาแล้วผมเคยแนะนำหนังเรื่อง Revenge of the Ninja หนังแนวแอ็กชันสไตล์อเมริกันนินจาที่นินจาญี่ปุ่นมาก่อการปราบวายร้ายถึงเมืองมะกัน ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าคนสมัยก่อนดูแล้วชอบกันหรือไม่ ส่วนผมดูแล้วออกแนวฮามากกว่า ยังจำได้ติดตาครับ กับฉากอาม่านินจา อันนี้จริงๆ นะครับ อาม่าอายุน่าจะประมาณ 65 อย่างต่ำมารำดาบนินจาอ้ะ อารมณ์มันประมาณดู Kill Bill Vol. บางแคน่ะครับ แหม ทำไปได้ แล้วนี่คือภาคต่อตอนที่สามในหนังชุดนินจาเนี่ยนะครับ ซึ่งไม่ได้ต่อกันแต่อย่างใด เหมือนทำเป็นชุดใช้ชื่อเดิมๆ กันมาเพื่อเรียกลูกค้า แต่เนื้อในเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ที่เหมือนเดิมมีแค่ตัวเอกที่ได้ Shô Kosugi…

Down a Dark Hall (2018) โรงเรียนปีศาจ

คิท กอร์ดี้ (AnnaSophia Robb) วัยรุ่นสาวผู้มีปัญหาจนครูที่โรงเรียนรับมือไม่ไหว แล้วจากนั้นก็มีคนอ้างตัวว่ามาจากโรงเรียนแบล็ควูด สถาบันสำหรับเด็กที่มีความพิเศษไม่เหมือนใคร และโรงเรียนแห่งนี้พร้อมรับคิทเข้าเรียน แล้วก็ตามสูตรครับ โรงเรียนที่ว่ามีความลึกลับชวนขนลุกซ่อนอยู่ ไม่ว่าจะบรรยากาศหลอนๆ, การหายตัวหรือเปลี่ยนไปของเพื่อนนักเรียน และพฤติกรรมแปลกๆ ของมาดามดูเรต์ (Uma Thurman) เจ้าของสถาบัน หนังสร้างจากนิยายของ Lois Duncan เจ้าของผลงานอย่าง I Know What You Did Last Summer (ใช่ครับ ดั้งเดิมเรื่องนี้คือนิยายและ Kevin Williamson เอามาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์อีกที) สำหรับเรื่องนี้ก็ออกแนวลึกลับสยองขวัญแฝงอารมณ์เหนือธรรมชาติแบบที่ชวนให้นึกถึง Twilight, The Mortal…

X-Men: Dark Phoenix (2019) X-เม็น ดาร์ก ฟีนิกซ์

ระหว่างดู X-Men ภาคนี้ผมก็นึกถึงเรื่องๆ หนึ่งขึ้นมาในหัวครับ… ผมนึกถึงประเด็นที่ว่า “ข่าวๆ หนึ่ง มีรสชาติแตกต่างกันออกไปยามที่ทีวีแต่ละช่องรายงานข่าวนั้นๆ” ข่าวเดียวกัน แต่เวลาช่อง 3 รายงานก็แบบหนึ่ง – ช่อง 7 รายงานก็แบบหนึ่ง – ช่อง Amarin ก็แบบหนึ่ง และความรู้สึกที่เรามีมันก็จะต่างกันไป รสชาติของข่าวนั้นๆ ขึ้นกับว่ามันถูกพิธีกรบอกเล่าแบบไหน ลีลาพิธีกรที่เล่าเป็นอย่างไร ฯลฯ ข่าวที่ดูเครียดๆ ข่าวหนึ่ง อาจดูเครียดยิ่งขึ้นเมื่อช่องหนึ่งรายงาน แต่อาจจะดูบันเทิงไปเลยเมื่อถูกรายงานโดยพิธีกรอีกช่องหนึ่ง ดังนั้นแม้ตัวเนื้อหาข่าวจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่ที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากันคือการเล่าเรื่อง หากเล่าแบบนิ่งๆ…

Bring It On: Worldwide #Cheersmack (2017)

ระหว่างดูเรื่องนี้มันมีอะไรหลายอย่างผุดขึ้นมาในหัวครับ ดังนั้นสิ่งที่ผมเขียนนี่อาจจะเกี่ยวกับหนังแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น นอกนั้นก็เป็นสารพัดห้วงความคิดที่โผล่มา… ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะเรียกว่าดูแล้วเกิดความคิดหรือดูแล้วใจลอยไปคิดเรื่องอื่นกันแน่ นี่ก็ถือเป็นตอนที่ 6 ของหนังชุด Bring it On แล้วครับ ซึ่งจะเรียกว่าเป็นภาคต่อก็คงไม่เชิง เพราะมันเหมือนทำออกมาโดยเอาชื่อ Bring it On มาปะที่หัว แบบเดียวกับ American Pie ที่มีช่วงหนึ่งทำออกมาเพียบเชียว เรื่องก็ตามสูตรครับ กลุ่มเชียร์ลีดเดอร์นำโดย เดสตินี่ (Cristine Prosperi) ต้องพยายามทำให้กลุ่มเชียร์ของเธอไปให้ถึงฝั่งฝัน ซึ่งก็แน่นอนว่ามันต้องมีอุปสรรคทั้งจากคู่แข่ง จากเพื่อนร่วมทีม และเหนืออื่นใดคือ…

The Heineken Kidnapping (2011)

นี่คือหนังต้นฉบับของเรื่องราวการลักพาตัวเฟรดดี้ ไฮเนเก้นเมื่อปี 1983 ครับ ตัวหนังเป็นสัญชาติเนเธอร์แลนด์โดยตรงเลยครับ หนังก็อิงเจ้าเค้าโครงเหตุการณ์จริงที่ไฮเนเก้น (Rutger Hauer) มหาเศรษฐีธุรกิจเบียร์ที่โดนคนกลุ่มหนึ่งลักพาตัวเรียกค่าไถ่ ซึ่งผมเชื่อว่าหลายคนคงอยากรู้ว่าฉบับไหนอร่อยกว่ากันระหว่างของเดิมปี 2011 กับของรีเมคฮอลลีวู้ดปี 2015 สำหรับผมแล้ว ผมออกจะชอบของต้นฉบับมากกวาพอสมควรครับ ต้องยอมรับว่ารสชาติของหนังต่างกัน ในขณะที่ของใหม่ปี 2015 ดูดีเพราะมี Anthony Hopkins มารับบทไฮเนเก้น และสไตล์เรื่องก็กึ่งฮอลลีวู้ดกี่งยุโรป ซึ่งผมก็โอเคกับหนังอยู่ครับ เพียงแต่มันอาจจะไม่ได้สุด คือมันมีทั้งความระทึก มีดราม่าปนๆ กัน แต่ก็ไม่ถึงกับสุดไปเสียทั้งหมด ผลออกมามันคือดูได้เรื่อยๆ…

Kidnapping Mr. Heineken (2015) เรียกค่าไถ่ ไฮเนเก้น

ช่วงต้นๆ ของ Kidnapping Mr. Heineken ถือว่าเวิร์กเลยนะครับ เปิดเรื่องมาก็แนะนำให้เรารู้จักกับเหล่าผู้ที่กำลังจะก่อการลักพาตัว นำโดย คอร์ (Jim Sturgess) และ วิลเลม (Sam Worthington) อันเนื่องมาจากพวกเขาประสบปัญหาทางการเงิน ไปกู้ธนาคารก็ไม่ผ่าน พอถึงทางตันก็เลยวางแผนลักพา เฟรดดี้ ไฮเนเก้น (Anthony Hopkins) เจ้าของธุรกิจเบียร์ผู้โด่งดัง หนังเล่าแบบน่าสนใจและมีลำดับเรื่องที่ดีครับ ตอนแรกก็ทำให้เราเข้าใจว่าแต่ละคนเจอปัญหา ครั้นพอคอร์เสนอให้ลักพาไฮเนเก้น พวกเขาก็ไม่ได้ลักพาทันที แต่มีการซ้อมมือ ลองปล้นลองอะไรก่อนที่จะลงมือทำจริง ช่วงแรกที่ว่านี้ดาราเล่นกันได้ดีเลยครับ…

Thunderheart (1992) ปมเลือดแดนดิบ

เป็นที่ทราบกันดีว่าผืนแผ่นดินอเมริกานั้น ผู้ที่อาศัยอยู่แต่ดั้งแต่เดิมคือชนพื้นเมืองชาวอินเดียนแดง แต่ครั้นพอคนผิวขาวย้ายมาอยู่กันมากๆ เข้า ชาวอินเดียนแดงก็ถูกบีบคั้นให้มีที่อยู่อาศัยน้อยลงเรื่อยๆ และยังถูกกวาดล้างจนเหลือประชากรน้อยลงตามลำดับ มิหนำซ้ำยังโดนคนผิวขาวกำหนดกฎเกณฑ์จำกัดสิทธิ์สารพัด จนแปรสภาพจากเจ้าของดินแดนดั้งเดิมกลายเป็นเพียงพลเมืองชั้นรอง Thunderheart เป็นหนังที่สะท้อนความจริงที่ผมได้กล่าวไปนั่นแหละครับ เหตุเกิดที่เซาธ์ ดาโกต้า เมื่อลีโอ ฟาสต์ เอลค์ (Allan R.J. Joseph) ชาวอินเดียนแดงคนหนึ่งถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม และบรรยากาศของเมืองนั้นก็กำลังระอุเพราะชาวอินเดียนแดงบางส่วนก็ประท้วงต่อต้านการเข้าควบคุมของเหล่าคนผิวขาว ทาง FBI จึงตัดสินใจส่ง เรย์ ลีวอย (Val Kilmer) เจ้าหน้าที่ที่มีเชื้อสายอินเดียนแดงเข้ามาทำการสืบคดี ด้วยความหวังว่าชนเผ่าอินเดียนแดงพื้นเมืองจะเห็นแก่ที่เรย์มีเชื้อสายเดียวกัน และยอมให้สืบสวนได้โดยสะดวก แต่เรื่องกลับไม่ง่ายอย่างนั้นครับ…

Zootopia (2016) ซูโทเปีย นครสัตว์มหาสนุก

การ์ตูนจาก Disney หลังๆ ก็ถือว่ากลับมาอยู่ตัวแล้วครับ ออกมาสนุก น่าพอใจ ให้แง่คิด เด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูดี แม้จะไม่สุดยอดมากมายเท่า Pixar แต่ก็ถือว่าห่างกันไม่เท่าไร Zootopia บอกเล่าถึงเรื่องของกระต่ายน้อยที่ใจไม่เล็กนามว่า จูดี้ ฮ็อบส์ ซึ่งฝันของเธอคือการได้เป็นตำรวจพิทักษ์ความสงบสุขในเมืองใหญ่อย่างซูโทเปีย แต่ก็แน่นอนว่าฝันของเธอนั้นถูกมองว่าเป็นแค่ฝันลมๆ เท่านั้น แต่ในที่สุดจูดี้ก็ทำได้ครับ เธอสามารถเป็นตำรวจไปประจำการในเมืองซูโทเปียได้สำเร็จ และนั่นเองคือจุดเริ่มต้นของการผจญภัยครั้งสำคัญ เพราะกำลังมีคดีใหญ่มากๆ รอให้เธอไปจัดการ (เป็นคดีใหญ่ตามสูตรครับ คือคดีที่จริงๆ สำคัญมาก แต่ไม่มีใครสนใจ มีแต่จูดี้ที่เอะใจเกี่ยวกับมัน) ในแง่ความบันเทิงแล้ว หนังตอบโจทย์ได้ดีครับ เล่าได้สนุกและน่าติดตาม…

John Carpenter’s Escape from New York (1981) หนีนรกนิวยอร์ก

ถือเป็นหนังแอ็กชันผจญภัยที่ทำออกมาได้ดีอีกเรื่องหนึ่งสำหรับสมัยนั้นครับ และเป็นอีกหนึ่งผลงานที่น่าจดจำของผู้กำกับ John Carpenter ด้วย หนังสร้างในปี 1981 ครับ โดยเล่าถึงเรื่องในโลกอนาคต (สำหรับตอนนั้น) ในปี 1997 ตัวเอกของเรื่องมีนามว่า สเน็ค พลิสเกน (Kurt Russell) อาชญากรตัวเอ้ที่ทางการต้องการตัว และในที่สุดเขาก็โดนจับได้ แต่ขณะนั้นเองก็เกิดเหตุท่านประธานาธิบดี (Donald Pleasence) ไปติดอยู่บนเกาะนิวยอร์ก ซึ่งนิวยอร์กในยุคนั้นกลายเป็นเสมือนคุกที่เอานักโทษไปปล่อยไว้ ดังนั้นยิ่งท่านประธานาธิบดีอยู่ที่นั่นนานเท่าไร ก็มีโอกาสรอดน้อยเท่านั้น ทางการเลยยื่นข้อเสนอให้สเน็คครับ ว่าถ้าหากเขายอมแหกนรกไปช่วยท่าน ปธน. ออกมาได้ ก็จะได้รับการอภัยโทษ และนั่นก็คือจุดเริ่มของการหนีนรกนิวยอร์กครับ…