Category: รีวิวหนัง

ถ้าใครยังไม่เคยดูหนังการ์ตูนสนุกเพลินเจริญใจอย่าง Wreck-It Ralph ล่ะก็ ขอแนะนำเลยครับ หนังเหมาะแก่การรับชมเพื่อผ่อนคลายในช่วงวันหยุดอย่างยิ่ง พล็อตก็น่ารักดีครับ เมื่อราล์ฟตัวละครตัวร้ายประจำเกม Fix-it Felix เกิดคิดนอกกรอบอยากออกนอกเกมไปทำอะไรอย่างอื่นที่มันสร้างสรรค์และเป็นประโยชน์มากกว่ายืนตีกับช่างเฟลิกซ์ (ตัวเอกประจำเกม) ว่าง่ายๆ คือเบื่อเป็นตัวร้ายแต่อยากเป็นฮีโร่กับเขาบ้างนั่นแหละครับ แต่เขาไม่รู้เลยว่าการเลือกทางนั้นจะนำมาซึ่งการผจญภัยครั้งใหญ่ที่ทำเอาโลกแห่งเกมป่วนกันไปหมด หนังสนุกจริงๆ ครับ อันนี้ผมสารภาพเลยนะว่าตอนแรกๆ ก็ไม่ได้สนใจนัก เพราะผมมีความคิดฝังหัว (ในตอนนั้น) ว่าการ์ตูนเนื้อเรื่องแบบนี้มันน่าจะให้ Pixar เอาไปทำ และในทางกลับกัน ปีนั้นมีเรื่อง Brave ออกมา ซึ่งผมว่าเรื่องนั้นน่ะแหละ เหมาะจะให้…

Saint Seiya: Legend of Sanctuary มีดีมากๆ ตรงภาพครับ จัดเต็ม CG เล่น Effect กันเต็มเหนี่ยว ดูแล้วยอมรับว่ามันส์และได้อารมณ์อลังการ เพลิดเพลินเจริญตายิ่ง ผมนั้นคงนับว่าเป็นติ่งเซนต์เซย่าเมื่อประมาณ 20 กว่าปีก่อนน่ะครับ สมัยช่อง 3 เอามาลงเจอ ดูแบบติดหนึบตั้งแต่ยุคแรกไล่มาจนถึงจบชุดโปเซดอน แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยๆ ห่างเหินกับเหล่าเซนต์ไป ภาคฮาเดสและอื่นๆ นี่ยังไม่เคยได้อ่านเลย พอได้มาดูภาคนี้ ก็เพลินดีครับ แม้จะมีการดัดแปลงเรื่องราวไปพอสมควร ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการย่อความ เพื่อให้สามารถยัดเรื่องตั้งแต่ต้นยันจบศึก…

ผมรู้จักสเมิร์ฟครั้งแรกก็สมัยเด็กๆ เลยครับ จำได้ดูทางช่อง 3 ตัวการ์ตูนมันน่ารักดี รูปร่างเล็กๆ ตัวสีฟ้าๆ และจะว่าไปเนื้อหาการ์ตูนมันก็อ่อนโยนน่ารักตามสไตล์ ส่วนตัวร้ายอย่างการ์กาเมลก็ลงสูตรสำเร็จแบบบรูตัสแห่ง Popeye (ที่ไม่มีทางชนะพวกสเมิร์ฟได้เลย) พอไปหา Smurfs ฉบับนั้นมาดูอีกครั้ง ผมก็ยังชอบครับ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเด็กสมัยนี้จะมองว่ามันเชยไหม เพราะลายเส้นก็ง่ายๆ เดินเรื่องก็ง่ายๆ แต่ผมว่ามันคลาสสิกในแบบของมันนะ และเนื้อหามันพอเหมาะพอดี ไม่ล้ำเกิน แต่ก็ไม่ปัญญาอ่อนแต่อย่างใด มันมีแก่นสารสาระสอนใจเสมอ สำหรับภาคนี้ หลายคนเข้าใจว่านี่คือภาคต่อของ The Smurfs ฉบับคนแสดง (ที่นำแสดงโดย Neil…

กระผมขอลั่น สั้นๆ เลยว่า Ted 2 มันโดนใจจริงๆ! ชอบจริงๆ ครับ ชอบมาก คือผมจะไม่บอกล่ะนะครับว่าหนังมันดีหรือไม่ (เพราะดีไม่ดีของแต่ละคน ไม่เคยเท่ากัน) แต่ผมบอกได้แค่ว่า หนังมันโดนใจผม ดูแล้วฮาได้เรื่อยๆ ตลกเพลิน มีโมเมนต์กินใจ และมีอะไรเจ๋งๆ เซอร์ไพรส์ผมอีกต่างหาก ภาคนี้เปิดเรื่องมา เท็ดก็แต่งงานกับแทมี่-ลินน์ (Jessica Barth) แต่เมื่อพวกเขาต้องการจะมีครอบครัวที่สมบูรณ์ เท็ดกลับโดนกฎหมายจำกัดสิทธิ์ (หาว่าหมีอย่างเขา ไม่ใช่ “บุคคล”) พอเป็นแบบนี้ เท็ดกับจอห์น…

บอกตรงๆ เลยคือผมไม่นึกว่ามันจะมีภาคต่ออกมาอีกนะเนี่ย… ถึงจุดนี้ผมเชื่อว่าหลายคนคงงงว่านี่มันมีภาคแรกออกมาก่อนด้วยหรือ คำตอบก็คือ มีครับ ภาคแรกคือ Cross หนังปี 2011 ที่กำกับโดย Patrick Durham คนที่ตามมากำกับภาค 2 นี่แหละครับ เรื่องราวในภาคแรกก็ทำออกมาอารมณ์ซูเปอร์ฮีโร่ ว่าด้วยเรื่องของโลกที่มีปีศาจร้ายคอยคุกคามความสงบ เบื้องบนเลยสร้างให้มีวัตถุวิเศษไว้ใช้ต่อกรกับความชั่ว และหนึ่งในนั้นคือกางเขนศักดิ์สิทธิ์ครับ ซึ่งตัวเอกอย่างคัลแลน (Brian Austin Green) ก็ต้องออกโรงปกป้องและใช้พลังของกางเขนในการปราบปีศาจและขจัดภัยพาลให้สิ้นไป จริงๆ หน้าหนังเหมือนจะเป็นแนวซูเปอร์ฮีโร่ แต่แนวทางกลับชวนให้นึกถึง “คมแฝก” และเอาเข้าจริงๆ ผมว่าคมแฝกบ้านเรายังดูเพลินกว่าอีกครับ…

ช่วงต้นๆ ของ Kidnapping Mr. Heineken ถือว่าเวิร์กเลยนะครับ เปิดเรื่องมาก็แนะนำให้เรารู้จักกับเหล่าผู้ที่กำลังจะก่อการลักพาตัว นำโดย คอร์ (Jim Sturgess) และ วิลเลม (Sam Worthington) อันเนื่องมาจากพวกเขาประสบปัญหาทางการเงิน ไปกู้ธนาคารก็ไม่ผ่าน พอถึงทางตันก็เลยวางแผนลักพา เฟรดดี้ ไฮเนเก้น (Anthony Hopkins) เจ้าของธุรกิจเบียร์ผู้โด่งดัง หนังเล่าแบบน่าสนใจและมีลำดับเรื่องที่ดีครับ ตอนแรกก็ทำให้เราเข้าใจว่าแต่ละคนเจอปัญหา ครั้นพอคอร์เสนอให้ลักพาไฮเนเก้น พวกเขาก็ไม่ได้ลักพาทันที แต่มีการซ้อมมือ ลองปล้นลองอะไรก่อนที่จะลงมือทำจริง ช่วงแรกที่ว่านี้ดาราเล่นกันได้ดีเลยครับ…

การดู Fantastic Four ล่าหลังกว่าคนอื่นคงถือเป็นความโชคดีประการหนึ่งครับ เพราะหลังจากผ่านตาคำบ่นของคนดูมามากๆ เข้า อันว่าความคาดหวังของเราก็ลดต่ำลงตามลำดับ จนก่อนจะตีตั๋วดูนี่ทำใจได้สบายๆ ครับ คือหนังจะแย่แค่ไหนก็รับได้แล้วล่ะ และคงเพราะแบบนั้นผมเลยไม่ถึงกับรู้สึกแย่กับ FF ขนาดนั้น แต่ก็ไม่ได้ชอบหรอกนะครับ คือมันดูได้เรื่อยๆ ดูจบแล้วก็จบกัน ไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรมากมาย ไปๆ มาๆ ผมรู้สึกชอบฉบับเก่ามากขึ้นกว่าเดิมเยอะครับ ชนิดที่กลับไปหาซื้อ Blu-Ray 2 ภาคของเก่ามาเก็บเลยล่ะครับ (ประมาณว่าที่ไม่ซื้อก็เพราะรอฉบับใหม่นี่ทีเดียว กะซื้อฉบับเดียวไปเลย แต่พอออกมาในรูปนี้ สมองก็หวนรำลึกครับว่าฉบับเก่ามันเพลินกว่ากันแค่ไหน เลยไปสอยมาซะ 555)…

การกลับมาหนที่ 7 ของฆาตกรผีแค้นฝังหุ่นนามว่าชัคกี้ครับ ก็บอกตรงๆ ครับว่ารอดูอยู่เหมือนกัน เพราะภาคที่แล้ว (Curse of Chucky) หนังสามารถฟื้นฟูศรัทธาให้ผมขึ้นมาได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็มีเผื่อในไว้ตามระเบียบครับ หนนี้เล่าเรื่อง 4 ปีต่อมาหลังเหตุการณ์ในภาค 6 โดยมี แอนดี้ (Alex Vincent) ตัวเอกจาก 3 ภาคแรกกลับมาอีกครั้ง ซึ่งตอนแรกผมก็นึกว่าบทเขาจะเยอะน่ะนะครับ แต่ไปๆ มาๆ มันไม่ใช่แบบนี้แฮะ หนังมาเน้นที่เรื่องของนิก้า (Fiona Dourif) ผู้รอดชีวิตจากภาคที่แล้วเป็นหลักครับ…

ถือเป็นหนังแอ็กชันดราม่ารุ่นเก่าที่ทำออกมาได้ดีมากอีกเรื่องหนึ่งครับ เรียกว่าครบเครื่องทั้งการแสดงดีๆ, เรื่องราวที่น่าติดตาม, ดนตรีที่พอเหมาะ และสาระชวนคิดสะกิดหัว แม็กซ์ เดมโบ (Dustin Hoffman) เพิ่งพ้นโทษออกมาครับ และเขาก็หมายมั่นว่าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ตั้งแต่หาที่อยู่ หางานทำ ผูกสัมพันธ์กับสาวน้อยแสนน่ารักที่ชื่อเจนนี่ (Theresa Russell) แล้วก็แวะไปหาเพื่อนเก่า แต่แล้วเขาก็ไม่อาจมีชีวิตแบบคนปกติได้เมื่อเขาถูกเพ่งเล็งโดยเจ้าหน้าที่ทัณฑ์บน (M. Emmet Walsh) ทีนี้พอแม็กซ์ถูกบีบมากๆ เข้า เขาก็ทนไม่ไหวครับ เลยตัดสินใจหวนคืนสู่โลกแห่งอาชญากรรมอีกครั้ง แล้วมันจะนำชีวิตเขาไปสู่ทิศทางไหน ก็ต้องติดตามกันครับ พลังแรกที่ยกนิ้วให้เลยคือการแสดงดีๆ ของ Hoffman ครับ ดูแล้วเชื่อจริงๆ…

หนังภัยพิบัติสัญชาติเยอรมันครับ พล็อตว่าด้วยภูเขาไฟที่สร้างหายนะให้กับผู้คน ก็ว่ากันแบบไม่ยาวครับ ตัวหนังไม่มีอะไรน่าจดจำนัก ช่วงต้นๆ ก็เป็นการปูพื้นเล่าเรื่องตัวละครหลักๆ สลับกับฉากภัยพิบัติเรียกน้ำย่อยเป็นพักๆ เช่น น้ำในทะเลสาบเดือด หรือแผ่นดินไหว ก่อนภัยของจริงจะตามมา โดยสัดส่วนแล้วหนังเทไปที่การเล่าเรื่องตัวละครมากกว่าจะเน้นแอ็กชันหนีภัยแบบที่หนังฟอร์มยักษ์ชอบทำกัน แต่กระนั้นก็ต้องยอมรับครับว่าหนังที่มีฉากแอ็กชันลุ้นๆ มันจะดูตื่นตากว่า และเรื่องราวดราม่าในเรื่องนี้ก็ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นครับ ดาวกว่าๆ ครับ (4.5/10)