Fear Street: Part Three – 1666 (2021) ถนนอาถรรพ์ ภาค 3: 1666

แล้วก็มาถึงบทสรุปแห่งไตรภาค Fear Street ครับ หนนี้หนังจะพาเราไปพบกับบทเริ่มต้นแห่งคำสาปที่สร้างความสยองให้กับเมืองเชดดี้ไซด์มานานหลายร้อยปี และเรื่องราวของซาร่าห์ เฟียร์ที่เปิดปมไว้ตั้งแต่ภาคแรก ก็จะมากระจ่างเอาภาคนี้ครับ หนังย้อนไปเล่าเรื่องในปี 1666 ที่จุดกำเนิดของทุกสิ่ง แล้วก็จะมีการขมวดปมจบเรื่องราวทั้งหมดด้วย ซึ่งบทสรุปจะเป็นอย่างไรก็อยากให้ลองชมกันครับ แล้วก็บอกได้เลยว่าภาคนี้ทำได้สนุกและน่าติดตามไม่น้อยทีเดียว ถ้าว่ากันในแง่ความโหดแล้ว หนังอาจไม่โหดเท่าภาค 2 เพราะจะว่าไปแล้วเรื่องหลักๆ ที่หนังเล่าก็คือเรื่องชีวิตของซาร่าห์ เฟียร์และสิ่งที่เธอต้องเจอซึ่งมันจะเทน้ำหนักไปในเชิงดราม่ามากกว่าจะเน้นความน่ากลัว ซึ่งถือเป็นอะไรที่เหมาะครับเพราะหนังก็เน้นความสยองมา 2 ภาคแล้ว พอมาภาคนี้ก็ถือว่าแหวกแนวไปทางอื่น ซึ่งการเล่าแบบเน้นตัวละครและเน้นไปในทางดราม่านี้ก็เข้ากับเรื่องราวของตำนานซาร่าห์ เฟียร์ได้อย่างพอเหมาะครับ ดูแล้วทำให้เข้าใจอะไรๆ มากขึ้น ช่วยให้เห็นภาพรวมของเรื่องราวทั้งหมดได้ ในภาคนี้นอกจากเราจะเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของตัวละครแล้ว หนังก็ยังสะท้อนเรื่อง “ความกลัว ความงมงาย…

Death Note (2017) เดธ โน้ต

1)มาแล้วครับ Death Note เวอร์ชั่นอเมริกัน ซึ่งผมก็ยอมรับว่าตอนดูตัวอย่างมันยังรู้สึกไม่โดนสักเท่าไร ส่วนจะ “ใช่” แบบต้นฉบับหรือไม่นั้นผมคงไม่สามารถตอบได้เพราะไม่เคยอ่านฉบับการ์ตูนเลย รู้แค่ว่าชอบหนังมากๆ (2 ภาคแรกน่ะนะครับ) จริงๆ ผมเคยบอกตัวเองไว้แล้วนะว่าก่อนดูฉบับนี้ควรทำใจและล้างความคาดหวังกับล้างภาพฉบับหนังญี่ปุ่นออกไปก่อนดู แต่พอดีผมดูมันแบบกระทันหันน่ะครับ คือมันมาเมื่อวาน (ซึ่งผมลืมว่ามันจะมาเมื่อวาน 555) พอเจอแล้วก็ดูทันทีแบบลืมลดความคาดหวัง ก็เลยทำให้การดูช่วงต้นๆ ของผมออกจะอึ้งๆ อยู่บ้าง ดังนั้นคำแนะนำของผมก็คือ ล้างภาพเก่าออกครับ อันนี้คือในกรณีที่ท่านอยากลองดูฉบับนี้น่ะนะครับ ล้างของเก่าออกก่อน ประเภทว่าถ้าใครอยากดูเนื้อเรื่องออกแนวชิงไหวชิงพริบ หักเหลี่ยมเท่ห์ๆ กันเนี่ย บอกเลยครับว่าไม่ใช่กับ Death…

Unfriended (2014) อันเฟรนด์

Unfriended เป็นหนังสยองที่น่าสนใจดีครับ คือออกแนว Real แบบหนัง Found Footage ทั้งหลาย แต่แทนที่จะถือกล้องเหวี่ยงไปมา ก็เลือกที่จะแช่ตรงหน้าจอแล้วก็ดำเนินเรื่องไป หนังนำเสนอให้เราเห็นการสนทนาผ่านคอมของวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่พอดีว่าก่อนหน้านี้มีเพื่อนคนหนึ่งเพิ่งฆ่าตัวตายไปครับ แล้วจู่ๆ วันนี้ระหว่างพวกเขาคุยกัน ก็มีคนลึกลับโผล่มาก่อกวน แล้วก็ไม่ได้กวนแบบเกรียนธรรมดาด้วย แต่มันยังเล่นเกมมรณะแบบถึงชีวิตกับพวกเขา จนแต่ละคนก็ต้องเจอกับความตายสยดสยอง ผมมองว่าหนังโอเคในระดับหนึ่งครับ ส่วนหนึ่งอาจเพราะผมเป็นคนนั่งหน้าจอคอม ดังนั้นการดูเพียงภาพคลิ้กไปคลิ้กมา มันเลยไม่ได้น่าเบื่อ (เพราะมันชิน ปกติก็นั่งอยู่เป็น ชม. อยู่แล้ว 555) และการลำดับเรื่องเพื่อสร้างความสยองก็จัดว่าไม่เลว แม้จะไม่จุดที่ดูไม่สมเหตุผลบ้าง แต่ก็นั่นแหละครับ หนังสยองก็อย่างนี้แหละ…

Game of Death (2011) หักแผนเดิมพันมหากาฬ

Wesley Snipes รับบท มาร์คัส โจนส์ เจ้าหน้าที่หน่วยพิเศษระดับพระกาฬที่ได้รับมอบหมายให้แทรกซึมไปอยู่ข้างกายพ่อค้าอาวุธ เพื่อจะได้วางแผนจับมันทั้งขบวนการ แต่แล้วเขากลับต้องเจอกับการหักหลัง เมื่อมีคนทรยศหมายจะครอบครองเงินเสียเอง เขาเลยต้องแก้เกมและหาทางเอาชีวิตรอดไปให้ได้ หนังบู๊ในแบบ Snipes ที่ผ่านพ้นยุครุ่งเรืองไปแล้วน่ะครับ มีความเป็นเกรดบีพอสมควร เดินเรื่องแบบเรื่อยๆ และเนื้อเรื่องก็พอจะเดาทางได้ แต่จริงๆ หากไม่คิดมากหนังก็พอจะดูได้อยู่ครับ อย่างน้อย Snipes ก็ทำหน้าที่ได้ดี แล้วยังได้เจอ Ernie Hudson, Gary Daniels กับ Robert Davi มาร่วมจอด้วย…

Night Teeth เขี้ยวราตรี

Night Teeth เขี้ยวราตรี หนึ่งในพล็อตเรื่องที่ฮอลลิวูดมักจะใช้หากินได้อยู่เรื่อยๆ เสมอต้นเสมอปลายก็คงจะหนีไม่พ้น เหล่าแวมไพร์ผีดูดเลือด ที่สามารถหยิบเอาอัตลักษณ์ของคาแรกเตอร์นี้มาจับวางใส่ในองค์ประกอบและสถานการณ์ต่างๆ ได้แทบจะทุกยุคทุกสมัยเลย และนี่ก็เป็นรูปแบบล่าสุดที่ถูกหยิบมาผสมคลุกเคล้าขึ้นใหม่ ออกมาเป็น “Night Teeth” (เขี้ยวราตรี) หนังแอคชั่นระทึกขวัญที่เต็มไปด้วยเลือดสาดนอง กับความเขย่าขวัญที่พยายาม…พยายามแล้วที่จะทำให้คนดูสะพรึง Night Teeth ว่าด้วยเรื่องราวของ เบนนี่ นักศึกษาหนุ่มที่มีชีวิตธรรมดาๆ แต่ปรากฏว่าเขาได้มีโอกาสเป็นโชเฟอร์ขับรถรับจ้างชั่วคราวแทนพี่ชายของเขา ปรากฏว่าผู้โดยสารที่เขาต้องให้บริการนั้น เป็นหญิงสาว 2 คน กับบุคลิกที่ลึกลับที่ออร่าของพวกเธอเปล่งประกายในยามดึกสงัด เขาต้องตระเวนขับรถไปทั่วนครลอสแองเจลิสตามคำสั่งตลอดทั้งคืน แต่พฤติกรรมของพวกเธออดทำให้เขาสงสัยไม่ได้ และได้นำพาเข้าไปสู่วังวนในโลกใบที่แสนอันตราย ที่เขาไม่ควรจะนำชีวิตตัวเองเข้าไปข้องเกี่ยวด้วยเลย… นี่คือผลงานผู้กำกับหนังเขย่าทุนต่ำ “อดัม…

Dune มหากาพย์ลิเกไซไฟโรงใหญ่ ที่อยากรีเควสให้ออกสารานุกรมสักเล่ม

Dune และเราก็ได้ฤกษ์เป็นประจักษ์ต่อสายตากับหนึ่งในโปรแกรมหนึ่งฟอร์มใหญ่ประจำปีนี้ที่มีหลายคนเฝ้ารอคอย กับมหากาพย์ไซไฟที่นับมาปัดฝุ่นสร้างใหม่อีกครั้งใน “Dune” ที่ดัดแปลงมาจากนิยายภาพดั้งเดิมของ “แฟรงก์ เฮอร์เบิร์ต” ที่เคยถูกสร้างเป็นหนังมาแล้วในปี 1984 ที่ออกจะเป็นแนวหนังคัลท์ไซไฟไปสักหน่อย แต่กลับมาคราวนี้ด้วยเทคโนโลยีภาพยนตร์ที่ทันสมัยขึ้น จึงทำให้งานสร้างต่างๆ ได้ถูกยกระดับได้ดีขึ้นอีกเป็นกอง และถือว่ายิ่งใหญ่สมราคาคุยอยู่ Dune เล่าเรื่อง พอล อะเทรดิส อัจฉริยะหนุ่มผู้มีพรสวรรค์ที่เกิดมาพร้อมโชคชะตาอันยิ่งใหญ่เกินกว่าจะเข้าใจ เขาต้องเดินทางไปยังดาวเคราะห์ที่อันตรายที่สุดในจักรวาลเพื่อความอยู่รอดและอนาคตของครอบครัวรวมถึงผู้คนของเขา หลังถูกรุกรานโดยกองกำลังวายร้ายหน้าเลือดที่หวังแย่งชิงทรัพยากรที่ล้ำค่ามากที่สุดเท่าที่เคยมีมา ซึ่งสามารถใช้ดึงศักยภาพที่ซ่อนเร้นของมนุษยชาติออกมาได้ และมีเพียงผู้ที่สามารถเอาชนะความกลัวได้เท่านั้นที่จะอยู่รอดในศึกครั้งนี้ หนังเรื่องนี้เราอยากจะเริ่มต้นด้วยการให้คะแนนเต็ม 10 เอาไว้ก่อน โดยหลังจากนี้จะมาไล่เรียงและตัดคะแนนกันไปทีละส่วนๆ กันดูว่า Dune จะยังสมบูรณ์แบบเพียงพอกับการเป็นมหากาพย์หนังไซไฟเรื่องใหม่ให้กับ วอร์เนอร์ บราเธอร์ส…

The Forever Purge

หนังใหม่ รีวิวหนัง วิจารณ์หนัง The Forever Purge หนังอีกหนึ่งเรื่อง…ที่เราคิดว่าเดินทางมาไกล…ไกลกว่าที่คิดเอาไว้มากแล้วตอนนี้ และการเดินทางของหนังเรื่องนี้ก็ยังแผ่ขยายและใส่ไอเดียไปได้อีกอย่างไร้ที่สิ้นสุด และในปีนี้กลับมาอีกครั้งเป็นภาคที่ 4 กับ “The Forever Purge” (คืนอำมหิต: อำมหิตไม่หยุดฆ่า) ที่เป็นการยกระดับความเข้มข้นในทุกๆ ด้าน จากพิธีไถ่บาปเพียงแค่คืนเดียว กลายเป็นฝันร้ายของอเมริกันชนที่อาจจะไม่มีวันสิ้นสุดลง เพราะสังคมที่เสื่อมทรามลงเรื่อยๆ The Forever Purge เล่าเรื่องราวภายหลังจากที่ทุกกฎบัญญัติได้ถูกทำลายลง กลุ่มโจรฉกรรจ์เดนดินไม่ได้คำนึงถึงข้อกฎหมายใดๆ อีกต่อไป ได้ลงมติและตัดสินใจกันไปเลยว่าจะดำเนินการกวาดล้วงในพิธีไถ่บาป ที่จะไม่ใช่แค่เกิดขึ้นเพียงคืนเดียวก่อนจะรุ่งสาง แต่มันสมควรจะเป็นการไถ่บาปแบบไม่มีวันวันสุด ทุกที่ และทุกเวลา นี่คือจุดเริ่มต้นของหายนะที่สั่นสะท้านไปทั่วแผ่นดินอเมริกา หนึ่งสิ่งที่ต้องทำใจยอมรับในองค์ประกอบของหนังตระกูล…

เกมปลุกผี (2014) Ghost Coins

เกมปลุกผี อีกหนึ่งหนังสยองแนวลองของครับ เนื้อเรื่องช่วงต้นๆ ก็มาในแนวเด็กวัยรุ่นไปลองของ ครั้นพอเดินเรื่องไปสักระยะก็มีปมให้ติดตาม แล้วก็มีการหักมุมตามสไตล์หนังแนวนี้ จุดเข้าท่าของหนังก็อย่างที่หลายๆ คนบอกครับ ถ่ายภาพออกมาสวยดี เล่นแสงเงาได้น่าสนใจ ให้อารมณ์หลอนได้ในหลายวาระ ในขณะที่ดารานั้น คนที่เล่นได้ดีเหมือนเช่นเคยก็คือ ญาญ่า หญิง รฐา โพธิ์งาม ส่วนดาราหน้าใหม่ก็ถือว่าโอเคครับ สำหรับจุดอ่อนของหนังคือการเล่าเรื่องที่ยังไม่ลื่นนัก อีกทั้งบทก็ยังมีจุดขาดจุดเกินอยู่บ้าง อะไรเหล่านี้เลยลดทอนความสนุกไปพอสมควร เอาเป็นว่าสำหรับคอหนังสยอง หากอยากลองลิ้มก็ไม่เสียหายครับ เพราะหนังเรื่องนี้ก็จัดว่าดูได้เรื่อยๆ ได้อารมณ์สยองในหลายๆ ช่วง พร้อมบรรยากาศลึกลับกลางป่ามืดทึบ ก็จัดว่าบิ้วอารมณ์สยองได้เข้าท่า นี่ถ้าบทลงตัวกว่านี้ล่ะก็ หนังคงน่าจดจำมากขึ้นครับ…

Poltergeist (2015) โพลเตอร์ไกสท์ วิญญาณขังสยอง

Poltergeist ภาคต้นฉบับ ผมถือว่าเป็นหนังบ้านผีสิงที่ทำออกมาได้กลมกล่อมมากเรื่องหนึ่ง คือในแง่ความสยองมันอาจจะไม่ได้ทะลักทลายแบบ The Evil Dead น่ะนะครับ แต่มันก็สยองใช้ได้ และเป็นหนังที่มีส่วนผสมระหว่างความเป็นหนังดราม่าครอบครัว+สืบสวนเรื่องเหนือธรรมชาติ+ผีดุอาละวาดที่ครบเครื่องอย่างยิ่ง ที่ชอบเป็นพิเศษคือฟอร์มหนังมันดูเป็นเกรดเอระดับเมเจอร์ (มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้นเพราะ Steven Spielberg อำนวยการสร้าง) Effect ก็ได้มาตรฐาน แต่หนังก็สอดแทรกความน่ากลัวสไตล์หนังเกรดบี+สไตล์ดิบๆ ลงไป ทำให้หนังครบรสทั้งดูดีและมีความแหยง ในขณะที่ Poltergeist ฉบับล่าสุด (★★) มันก็ดูมีฟอร์มครับ (แม้ทุนจะแค่ $10.7 ล้าน แต่ก็ดูเป็นหนังเมเจอร์ในระดับหนึ่ง) Effect…

ป้าแฮปปี้ She ท่าเยอะ (2015)

เหตุผลหลักที่ผมดูหนังเรื่องนี้คือพี่เบนเลยครับ ลีลาพี่แกสุดยอดเป็นล้นพ้น ^_^ สำหรับตัวหนังก็จัดว่าดูได้เพลินๆ ครับ เอาขำเอาสนุก ซึ่งจริงๆ ผมว่าดารานำอย่างแพนเค้กและพี่เบนนี่เล่นได้เวิร์กเลยนะครับ อย่างแพนเค้กนี่ตอนฮาก็ฮาได้เนียน ครั้นพอถึงตอนดราม่าก็ดึงอารมณ์คนดูให้คล้อยได้ไม่เลว ในขณะที่พี่เบนนี่แรงจัดแรงจริงในทุกฉากทุกช็อต ฮาได้เรื่อยๆ ฮาได้ยาวครับ ยิงมุขกระจุยจนยอมรับเลยว่าหนังเรื่องนี้ 2 คนนี้ช่วยไว้ได้เยอะจริงๆ ส่วนพล็อตเรื่องนั้นตั้งต้นมาดีครับ เรื่องของป้าโลกสวยกับก๊วนเพื่อนสาว ซึ่งก็ดูเพลินดีในตอนต้น แต่ด้วยความที่ทิศทางของหนังดูจะหนักไปทางขำ เลยทำให้พล็อตในเชิงดราม่าไม่ค่อยเด่น แล้วหนังก็ยังใส่พล็อตโรแมนติกลงไปอีก ซึ่งอะไรเหล่านี้ดูยังไม่เป็นเนื้อเดียวกันสักเท่าไรน่ะครับ (ถัดจากนี้จะมีสปอยล์บ้างนะครับ หากไม่อยากทราบ กรุณาอย่าอ่านเลยจากจุดนี้ครับ) จริงๆ พอจะเข้าใจทิศทางที่หนังจะนำไปนะ คือช่วงแรกปูพื้นก่อน ช่วงกลางก็จะนำไปสู่ช่วงท้ายที่พระเอกกับนางเอกเกิดความรู้สึกดีๆ…