Chaos Walking – จิตปฏิวัติโลก

Chaos Walking – จิตปฏิวัติโลก
— 6.7/10 —
ยัยผมบลอนด์หนีตาย กับ The Noise ของนายเลิ่กลั่ก
หนังเปิดไตรภาคที่เนื้อเรื่องไม่กลมกล่อม ที่แลดูย่ำอยู่กับที่ไปหน่อย

Chaos Walking คือผลงานการกำกับของ Doug Liman ที่เคยฝากผลงานเอาไว้ใน Edge of Tomorrow กับเรื่องราวที่บอกเล่าถึงโลกใหม่ในอนาคตที่มนุษย์ผู้ชายมีสิ่งที่เรียกว่า The Noise ความคิดของตัวเองจะถูกส่งออกมาให้คนอื่นได้ยินได้เห็นได้รับรู้ เรียกง่าย ๆ ว่าคิดอะไรคนอื่นรู้หมด โลกใบนี้ไม่มีผู้หญิง แต่อยู่มาวันนึง Todd Hewitt ก็ได้บังเอิญมาเจอกับผู้หญิงนามว่า Viola และการพบกันของทั้งคู่นำมาซึ่งความลับที่ Todd ไม่เคยรู้มาก่อน

นี่คือหนังที่ดัดแปลงมาจากนิยายของ Patrick Ness ชุดไตรภาค The Knife of Never Letting Go, The Ask and The Answer และ Monster of Men ซึ่งในหนังเรื่องนี้ได้ยิบเอาเรื่องเล่มแรกมาทำมันจึงเต็มไปด้วยการปูเรื่องราวให้เราเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังก่อน ใคร เป็นอะไร มายังไง จากไหน เกิดอะไรขึ้น

สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านนิยายอย่างเรา ความน่าสนใจของหนังเรื่องนี้คือ The Noise เนี่ยแหละ มันทำให้เราอยากรู้ว่าหนังจะเอาจุดนี้มาเล่นยังไงให้สนุก น่าสนใจ และน่าติดตาม อย่างแรกเลยคือการเอามาใช้กับคู่พระ-นาง ที่พระเอกมักจะดูเลิ่กลั่ก เขิน อาย พูดมาก(คิดอะไรเต็มหัว) และไม่เคยเจอผู้หญิง ซึ่งจุดนี้หนังก็นำเสนอมาได้น่ารัก สนุก เรียกเสียงหัวเราะได้ตลอด เอาจริง ๆ สิ่งที่ทำให้หนังมีเสน่ห์ก็คือเคมีของทั้ง Tom Holland และ Daisy Ridley นั่นแหละ ที่แสนจะเข้ากั๊นเข้ากัน ทางด้าน Tom นี่เล่นแลดูเป็นตัวเองมาก ส่วน Daisy ในเรื่องนี้เธอดูน่ารักจริง ๆ

นักแสดงคนอื่น ๆ ก็น่าชื่นชมไม่แพ้กัน โดยเฉพาะ Mads Mikkelsen ที่เล่นได้ดูน่าเกรงขาม น่ากลัว และโคตรเท่ พอเห็นการแสดงของเขาแบบนี้ยิ่งทำให้อยากดูว่าเขาจะมารับบท Grindelwald ใน Fantastic Beasts ยังไง แต่คนที่น่าเสียดายคือ Nick Jonas ที่แอร์ไทม์น้อยเหลือเกิน น้อยไม่พอบทบาทยังไม่ค่อยมีอะไรสักเท่าไหร่ ไม่มีพื้นที่ให้ได้โชว์ของเลย

และนอกเหนือจากนั้นหนังยังปูทางถึง The Noise ได้อย่างน่าสนใจ

ทางด้านเนื้อเรื่อง ซึ่งเอาจริง ๆ ช่วงแรกเล่าได้ไม่น่าสนุกและไม่น่าติดตามสักเท่าไหร่ เครื่องมาเริ่มติดตอนช่วงกลาง ๆ และช่วงหลังอะไรมันก็ดูง่ายไปหน่อย โดยภาพรวมเลยทำให้เนื้อเรื่องกับการเล่าเรื่องมันยังไม่กลมกล่อม

แต่ถึงแม้มันจะเริ่มสนุกขึ้นมาในช่วงกลางเรื่อง แต่กลับกลายเป็นว่าดูรีบเล่าเกินไป เหตุการณ์แต่ละอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เดี๋ยวมา เดี๋ยวไป และแน่นอนว่าหลายสิ่งหลายอย่างยังคงคาใจและสงสัย ในภาพรวมแล้วมันเลยกลายเป็นว่าเหมือนเนื้อเรื่องภาคนี้มันยังย่ำอยู่กับที่ไม่ค่อยได้รับรู้อะไรเท่าไหร่เลย

สรุปแล้วอาจจะเพราะด้วยความที่มันเป็นหนังเปิดไตรภาค มันจึงดูเน้นการปูเรื่องราวที่เต็มไปด้วยคำถาม และข้อสงสัย ไม่ค่อยมีอะไรให้น่าตื่นเต้นสักเท่าไหร่ ไม่ได้เซอร์ไพรส์หรือหนีไปจากตัวอย่างเลย เนื้อเรื่องมันเลยเหมือนย่ำอยู่กับที่ แต่สิ่งที่ทำให้ดูต่อได้คือคู่พระ-นางที่แลดูเคมีเข้ากันดี เล่นได้เป็นธรรมชาติ เอาจริง ๆ ถ้าเปลี่ยนเป็นหนังโรแมนติกในยุค Dystopia แล้วจับบทแบบนี้ให้สองคนนี้เล่นก็คงจะยังสนุกอยู่และน่าสนใจไม่น้อย 555

ไม่รู้เหมือนกันว่ารายได้จะเข้าเป้าหรือป่าว แต่คำวิจารณ์ในเว็บนอกไม่ค่อยสู้ดีนัก จะได้เห็นภาคต่อมั้ยนะ