ยอมรับครับว่าความอยากดู Child’s Play ฉบับใหม่นั้นไม่มากเท่าไร มันรู้สึกชาชินกับสารพัดหนังที่รีเมคหรือรีบูทจากหนังสยองในตำนานไปซะแล้ว เพราะส่วนใหญ่ก็สู้ของเก่าไม่ใคร่จะได้ ดูช้าดูไวก็ไม่ต่างกัน
และไปๆ มาๆ ผมกลับสนใจอยากดูฉบับซีรี่ส์ที่สานต่อตำนานจากเรื่องราวชุดเดิมมากกว่าซะอีกครับ
แต่ก็นั่นล่ะครับ สุดท้ายก็ได้ดูเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งก็เป็นการดูแบบไม่คาดหวังอะไรอีกเหมือนเดิม แล้วก็เช่นเคยครับ พอไม่คาดหวังก็รู้สึกว่าหนังดูได้เพลินๆ ดีเหมือนกัน
ฉบับนี้ชัคกี้เปลี่ยนที่มาของความสยองครับ จากเดิมที่เป็นผีฆาตกรมาสิงในตุ๊กตา ก็ถูกปรับกลายเป็นตุ๊กตาปัญญาประดิษฐ์ที่ถูกป้อนโปรแกรมให้กลายเป็นหุ่นโหด ส่วนตัวละครหลักที่ต้องเจอกับความสยองของมันก็คือหนุ่มน้อยแอนดี้ (Gabriel Bateman) ที่อยู่กับคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวนามว่า คาเรน (Aubrey Plaza)
ถือว่าดูได้เรื่อยๆ ครับ ฉากสยองก็ถือว่าโหดเอาเรื่อง ส่วนความน่ากลัวของชัคกี้ก็จะต่างออกไปจากฉบับเดิม ฉบับนี้จะน่ากลัวเพราะความคลุ้มคลั่งไว้ใจไม่ได้ว่าเจ้าหุ่นตัวนี้จะทำอะไรต่อไป
โดยส่วนตัวแล้วผมออกจะชอบฉบับเดิมมากกว่าตรงที่มันได้อารมณ์สยองแบบเหนือธรรมชาติน่ะครับ เพราะต้นเรื่องความสยองคือผีแค้น เลยทำให้บรรยากาศของหนังมันเหมือนมีเงาดำเมฆทะมึนรุมล้อมตัวละครทีละน้อย มันได้กลิ่นอายความหลอนและคาวเลือดแบบหนังสยองผีๆ
ส่วนฉบับนี้แม้หุ่นจะน่ากลัวเพราะความคลั่งก็ตาม แต่บรรยากาศหลอนแบบเหนือธรรมชาติจะไม่มีครับ เพราะครั้งนี้ไม่ได้มีผีเป็นเหตุ ไม่ได้เหนือธรรมชาติ แต่เป็นเรื่องของโปรแกรม ดังนั้นอารมณ์น่ากลัวเลยจะมีประมาณหนึ่ง แต่จะไม่ถึงขั้นแผ่รัศมีหลอนซึมลึกเหมือนมีเมฆมืดเงาดำแบบของเก่า
แต่กระนั้นผมว่าหนังก็ยังถือว่าดูเพลินอยู่ครับ และจะว่าไปหนังก็ได้รสชาติใหม่ไปอีกแบบ เพราะหนนี้ความคลั่งของหุ่นนอกจากจะเกิดเพราะโปรแกรมแล้ว ส่วนสำคัญที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของหุ่นก็คือตัวแอนดี้เองที่แสดงพฤติกรรมไม่ดี ไม่น่ารัก รวมถึงความเกลียดชังโกรธแค้นส่งต่อให้หุ่นชัคกี้
หนังก็เหมือนจะสะท้อนให้เราตระหนักถึงการเลี้ยงลูก สอนลูก และการเป็นตัวอย่างให้กับเด็กน่ะครับ ว่าผู้ใหญ่เป็นแบบไหน ชอบทำแบบไหน หรือสังคมไปในทางไหน เด็กก็จะซึมซับเอาสิ่งเหล่านั้นเข้าตัว แล้วก็ค่อยๆ สั่งสมกลายเป็นพฤติกรรมประจำตน – คนส่วนใหญ่เป็นแบบไหน โลกส่วนใหญ่ก็จะเป็นแบบนั้นนั่นเอง และดีไม่ดีสิ่งที่เป็นนั้นก็จะแผ่ซ่านไปถึงสารพัดปัญญาประดิษฐ์อีกด้วย
อีกอย่างที่เข้าท่าคือฤทธิ์เดชของชัคกี้ภาคนี้แม้ไม่ใช่ผีแต่ก็ร้ายไม่แพ้ผี เพราะมันสามารถเชื่อมต่อตัวเองเข้ากับนวัตกรรมอื่นๆ ได้ และใช้นวัตกรรมเหล่านั้นในการสร้างความสยอง อย่างการอาละวาดของชัคกี้ในตอนท้ายนั้นถือว่าไม่เลว แต่กระนั้นมันก็ยังไม่สุด (หรือไม่ก็อาจเก็บเอาการเล่นใหญ่เอาไว้เล่นในภาคต่อๆ ไป – ถ้ามีน่ะนะครับ)
อีกอย่างถ้าจะทำภาคต่อนะครับ เจ้าชัคกี้สามารถส่งต่อความสยองแบบออนไลน์ไปที่ตัวอื่นๆ ได้เลย งานนี้ล่ะถ้าจะทำตอนต่อล่ะก็ ทำอะไรได้อีกยาวครับ และความอมตะของชัคกี้ก็จะไม่ใช่เรื่องแปลกเลย เพราะมันเป็นไปได้จริงๆ ในโลกของเทคโนโลยี (ผมว่าหนังเรื่องนี้ตอกย้ำความไม่น่าไว้วางใจเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ได้อย่างน่าสนใจเลยล่ะ)
Bateman เล่นเป็นแอนดี้ในแบบของตัวเองได้เข้าท่าอยู่ครับ ท่าทางเวลาตื่นกลัว ตกใจ หรือเวลาที่มีอารมณ์โกรธไม่พอใจก็ถือว่าน่าเชื่อ ที่ชอบอีกอย่างคือความรู้สึกที่เขามีต่อชัคกี้น่ะครับ คือแม้ว่าจะกลัวชัคกี้ยังไงแต่แววตาท่าทางของเขาก็ทำให้เราตระหนักว่าเขามองว่าชัคกี้เป็นเพื่อนคนหนึ่งจริงๆ สีหน้าเวลาลำบากใจยามต้องทำร้ายชัคกี้นี่ก็ทำให้รู้สึกเห็นใจได้ไม่น้อยเหมือนกัน
Plaza ก็ถือว่าโอเคพอเหมาะครับ เธอทำให้เราเชื่อน่ะครับว่าเธอเป็นแม่ที่รักลูกนะ เพียงแต่อาจไม่ค่อยมีเวลาให้ หรือเพราะความเหงาต้องเลี้ยงลูกคนเดียว ต้องรับมือกับอะไรหลายๆ อย่างคนเดียว ก็เลยทำให้เธออาจจะให้เวลากับแฟนมากกว่าลูกไปบ้าง พูดง่ายๆ คือเธอก็เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวธรรมดาๆ คนหนึ่งที่มีทั้งข้อดีและข้อเสียในตนเอง ถือว่าเธอแสดงได้ดีครับ
ก็ถือว่าเรื่อยๆ ครับ ความน่ากลัวก็มาเรื่อยๆ ฉากชวนสะดุ้งก็ออกจะลงสูตรเดิมอยู่เหมือนกัน คือฉากไหนที่บรรยากาศมันเงียบๆ ละก็ ให้เตรียมใจไว้เลยครับว่าเดี๋ยวมันต้องตุ้งแช่แน่นอน แต่แม้จะเดาทางได้หนังก็ยังตอบโจทย์ความสยองตื่นเต้นได้โอเคในระดับหนึ่งครับ
หนังกำกับโดย Lars Klevberg แห่ง Polaroid ซึ่งเรื่องนี้ก็ถือว่าโอเคขึ้นกว่าเรื่องนั้นครับ แต่ความกลมกล่อมลงตัวยังสู้แค้นฝังหุ่นภาคต้นฉบับไม่ได้ เรื่องนั้นบรรยากาศมันหลอนกว่ากันเยอะจริงๆ ส่วนใบหน้าของชัคกี้ในภาคนี้ก็ถือว่าเข้ากับตัวหุ่นที่เป็นปัญญาประดิษฐ์ครับ แต่ก็นั่นแหละ ของเก่าน่ากลัวกว่าเยอะ อีกทั้งแสดงใบหน้าโหดได้หลายลีลากว่าเยอะ
แต่หนังก็ถือว่าทำเงินพอตัวครับ ลงทุน $10 ล้าน ได้ไป $44 ล้านจากทั่วโลก ก็กำไรพอประมาณ
ไม่รู้ใครเป็นเหมือนผมไหมน่ะนะครับ แต่บางมุมผมก็แอบสงสารชัคกี้นะ เพราะหนนี้เหมือนชัคกี้จะเป็นฝ่ายโดนกระทำจากมนุษย์เสียส่วนใหญ่ เริ่มต้นก็เป็นหุ่นอยู่ดีๆ แต่ที่กลายเป็นหุ่นโปรแกรมโหดก็เพราะมีคนมาโปรแกรมให้ (โดยคนนั้นก็โดนกระทำจากคนด้วยกันอีกต่อหนึ่ง) ไหนจะตอนอยู่กับแอนดี้ก็เจอแบบอย่างที่ไม่ดีสารพัดทั้งจากตัวแอนดี้เอง จากเพื่อนของแอนดี้ จากหนังในทีวี หรือแฟนใหม่ของแม่แอนดี้
นึกถึงเนื้อเพลง “อย่าเห็นฉันเป็นสนามอารมณ์” ขึ้นมาตะหงิดๆ
สรุปแล้ว ในแง่ของหนังสยองไล่เชือดสักเรื่องหนึ่ง ก็ถือว่าไม่เลวครับ
สองดาวได้ครับ
(6/10)