Class “เดอ บรอยน์” ทั้งเปลี่ยนเกมและให้เกียรติ

เบลเยียม ทีมที่เป็นรอง เดนมาร์ก และน่าจะโดนมากกว่า 1 ลูกกลายเป็นทีมแรกใน ยูโร ที่ “คัมแบ็ค” ตบเท้าเข้ารอบด้วยฝีเท้าของ game changer เควิน เดอ บรอยน์

เดอ บรอยน์ ในวัย 29 ปีลงสนามฐานะตัวสำรองในครึ่งหลังและใช้เวลาแค่ 25 นาทีเสกผลงานยิง 1 จ่าย 1 ทำให้ เบลเยียม เข้ารอบน็อกเอาท์เป็นทีมที่ 2 ตาม อิตาลี ทันที

เป็นการกระชากอารมณ์ของแฟนทั้ง 2 ทีมแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยจากที่ เดนมาร์ก ลงเล่นในครึ่งหลังด้วยสกอร์นำ 1-0 และมองถึงการจบเกมด้วยอันดับคะแนนแบบ “งูกินหาง” มี 3 แต้มทุกทีมไว้กลายๆ

นอกจาก เดอ บรอยน์ แล้วการลงสนามมา “ขยี้” เดนมาร์ก ที่กำลังกำแพงแตกของ เอเด็น อาซาร์ ในนาที 59 ได้ build up ประตูสวยๆที่มาจากการเล่นบอล 3 จังหวะต่อเนื่องจนนำไปสู่การจบสกอร์อัน “คมกริบ” ด้วยเท้าข้างไม่ถนัดของแข้ง แมนฯซิตี้

ลูกากู > 2 พี่น้อง อาร์ซาร์ และจบลงที่ KDB นี่คือลูก 2-1 ที่สวยงามทีมเวิร์คมี 10 ต้องให้ 10 อย่างไม่ลังเล

ถึงขนาดที่โลกโซเชี่ยลแซวว่านี่คือประตูในเกม “ฟีฟ่า” ชัดๆ

จะด้วยอะไรก็ตามแต่ประตูนี้ทำให้ทั้ง เดอ บรอยน์ และ อาซาร์ กลายเป็น “ตัวสำรอง” คู่แรก (มาจากทีมเดียวกัน) ที่ทำ “แอสซิสต์” นับตั้งแต่ โรบิน ฟาน เพอร์ซีย์ และ อาร์เยน ร็อบเบน ทำไว้ในเกมที่ เนเธอร์แลนด์ พบ ฝรั่งเศส ในศึกยูโร 2008

การมาของ KDB กับ อาซาร์ ยังไปส่งผลช่วย “ปลุก” ลูกากู ที่จากเงียบๆกลับมาพาทัวร์แนวรับ เดนมาร์ก จนมีส่วนกับทั้ง 2 ประตูรับเครดิตพ่วงท้ายสวยๆ

เบลเยียม กลายเป็นคนละทีมจากในครึ่งแรกแบบไม่เหลือเค้าจริงๆครับ เรียกว่า ลูกากู เดอะ แบกของทีมแทบถูกตัดออกจากเกมหลัง ไซม่อน เคียร์ ได้รับคำสั่งตามประกบทุกย่างก้าว

การที่ “ปีศาจแดงแห่งยุโรป” โดนไวตั้งแต่นาทีที่ 2 จากความผิดพลาดของ เจสัน เดนาเยอร์ (ที่เกมแรกไม่ได้ลง) ทำให้แท็คติกส์หลัง 3 ของ “โคนม” ทำงานทันที

งานของลูกทีม โรแบร์โต้ มาติเนซ “หยาบ” เป็น 2 เท่าเพราะ line up ตัวจริงที่ส่งมาไม่ได้เตรียมพร้อมกับสถานการณ์เป็นรองไวขนาดนี้

ที่สำคัญ “แชมป์ยูโร 1992” อันลือลั่นที่สุดครั้งนึงดันได้ “บัฟ” จากเหตุการณ์ คริสเตียน อีริคเซ่น + เล่นใน โคเปเฮเก้น ต่อหน้าแฟนบอลที่แห่เข้าสนาม 65% ของความจุซึ่งก็มากพอที่จะทำให้นักเตะวิ่งลืมตาย

เราเห็นได้เลยว่าตลอดครึ่งแรกแข้ง เบลเยียม ขวัญเสียและต่อกันไม่ติดร่วม 30 นาที ไม่มีใครที่มีวี่แววว่าจะรับไม้ต่อเป็นผู้เปลี่ยนเกมได้เลยแม้แต่คนเดียว

การใช้หลัง 3 ทำให้กลางของเจ้าถิ่นเยอะกว่า การไล่บี้โดนมีประตูตุนอยู่แล้วเพิ่มแรงจูงใจไปในตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เมื่อบอลไม่ถึง, ลูกากู เจอหลัง 3 และริมเส้นเจอดับเบิ้ลทีมทั้งเซนเตอร์แต่ละฝั่งกับแบ็คตามติด เกมรุกของ เบลเยียม ถูกชะลอในทุกๆทางมี ปิแอร์-เอมิล ฮอยเบิร์ก สกรีนให้อีกด่าน เรียกว่าปิดช่องสัญจรส่งผลทำให้ 45 นาทีแรกเป็นช่วงเวลา so far so good อย่างแท้จริง

ครับ class ของนักฟุตบอลเราหาดูได้เยอะแยะแต่เหตุการณ์ของ อีริคเซ่น ทำให้เราเห็น sportsmanship หรือน้ำใจนักกีฬามาตลอด

ตั้งแต่นักเตะ ฟินแลนด์ โยนธงชาติมาช่วยบังตอน CPR หรือไม่แสดงความดีใจตอนยิงประตูชัยเรื่อยมาจนถึงการที่ฝั่ง เบลเยียม เตะบอลทิ้งในนาทีที่ 10 เพื่อปรบมือส่งกำลังใจให้แข้ง อินเตอร์ มิลาน ทั่วทั้งสนาม

การเก็บอารมณ์ไม่ดีใจแบบเต็มสตีมหลังยิงแซง 2-1 แม้จะมีเผลอนิดหน่อยแต่ เดอ บรอยน์ ไม่ลืมโชว์ respect ต่อหน้าแฟนบอล เดนมาร์ก ซึ่งถือว่าทำไม่ง่ายเลยในช่วง heat moment แบบนั้น

ฝีเท้าขึ้นหิ้งไปแล้วแต่น้ำใจนักกีฬามาเต็มแบบนี้ คำเดียว pure class ครับ…