Daredevil ปี 3 ออกฉายในปี 2018 แต่กว่าผมจะได้ฤกษ์เปิดดูก็ปาเข้าไปตอนปลายปี 2021 แล้วครับ
ถ้าถามว่าเพราะอะไร? ก็พอจะนึกคำตอบได้ว่า ในตอนนั้น (ช่วงปี 2018) ผมเริ่มรู้สึกล้ากับซีรี่ส์ซูเปอร์ฮีโร่ทั้งหลายแหล่ครับ เพราะมันมีออกมาเยอะเหลือเกิน ทั้งของ Marvel และ DC จนผมตามดูไม่ทัน คือถ้ามาเป็นหนังความยาวสองชั่วโมงแล้วดูน่ะมันพอไหวครับ แต่นี่มีเพียบไปหมด จนผมล้าและละความพยายาม เลิกดูซีรี่ส์ซูเปอร์ฮีโร่ไปหลายปี
จนมาระยะนี้ผมถึงกลับมาดูซีรี่ส์ซูเปอร์ฮีโร่ของ Marvel ที่ฉายลง Disney Plus ซึ่งจำนวนตอนไม่เยอะเกินไป พอดูได้แบบเรื่อยๆ และสาเหตุสำคัญเลยที่ทำให้ผมต้องตามมาดู Daredevil ให้จบก็เพราะการมาของซีรี่ส์ Hawkeye นั่นเองครับ
พอดูปี 3 จบ ก็ยอมรับครับว่าปีนี้ยังทำได้สนุก และอุดมด้วยความเข้มข้นเหมือนเดิม แต่ก็ขอสารภาพตามตรงล่ะครับว่าผมไม่สามารถเอาไปเปรียบเทียบกับ 2 ปีแรกได้ เพราะระยะห่างการทิ้งช่วงในการดูมันหลายปีเกินครับ ผมดูปี 2 จบก็ปี 2016 โน่น จนมาถึงตอนนี้ก็ว่างเว้นไป 5 ปีแล้วครับ อารมณ์ที่มีต่อซีรี่ส์มันเลยต่อไม่ติด ไม่รู้สึกพุ่งพล่านเหมือนสมัยก่อน
แต่ก็อย่างที่บอกน่ะครับว่าปี 3 นี่ก็ทำออกมาได้สนุกดี เป็นการกลับมาขับเคี่ยวกันระหว่างแมตต์ เมอร์ด็อก (Charlie Cox) และวิลสัน ฟิสก์ (Vincent D’Onofrio) ที่หนนี้ฟิสก์มาพร้อมแผนเหนือเมฆที่จะนำพาตัวเองออกจากคุก แล้วกลับมาครองอำนาจในมหานครนิวยอร์กอีกครั้ง ซึ่งแมตต์เองพอรู้เข้าก็ต้องหาทางขัดขวางตามสูตร โดยที่ผองเพื่อนของแมตต์อย่างแคเรน (Deborah Ann Woll) และ ฟ็อกกี้ (Elden Henson) ก็ยังตามมาสู้กับฟิสก์ด้วยเหมือนเดิม
ปีนี้เรายังจะได้เจอกับ เบน พอยท์เด็กเกอร์ (Wilson Bethel) ที่ในเวลาต่อมาก็จะได้เป็นบูลส์อาย คู่อาฆาตอีกหนึ่งของแดร์เดวิลด้วย
รู้สึกเลยครับว่าอารมณ์ในการดูนั้นจะต่างจากตอนดู 2 ปีแรก ที่ตอนนั้นมันเหมือนกับอารมณ์ถูกบิ้วให้เราอินกับเรื่องราวของแดร์เดวิล ที่อินก็เพราะกำลังอินกับจักรวาลของ Marvel ความอยากดูมันเลยยังเยอะ แต่พอมาตอนนี้มันเหมือนผ่านช่วงนั้นไปแล้วน่ะครับ ชีวิตเราก็ผ่าน Endgame มาแล้ว ความเข้มข้นในดวงจิตเลยลดปริมาณลง แต่กระนั้นซีรี่ส์ก็ยังทำให้เราสนุกและอยากติดตามไปจนจบได้
ดังนั้นก็ต้องยอมรับล่ะครับว่าของเขาดีจริง เพราะขนาดตอนนี้อารมณ์อินและอารมณ์ต่อเนื่องไม่มากเท่าสมัยก่อน แต่ซีรี่ส์ก็ยังสามารถดึงเราให้จมดิ่งไปกับเรื่องราวได้ ยังรู้สึกสนุกและลุ้นตามได้ หรือถ้าให้ว่ากันตรงๆ คือถ้าดูตอนสมัยโน้นอาจมีอารมณ์อินมาบวกกับอารมณ์อวย แต่พอมาตอนนี้ ใจมันกลางๆ แล้วน่ะครับ แต่ก็ยังรู้สึกสนุกได้ มันก็พิสูจน์ความดีของซีรี่ส์ได้พอสมควร
ปีนี้ตอนที่มันส์แบบจัดๆ ต้องยกให้ตอนที่ 4 ตอน Blindsided ที่มาพร้อม Long Take มันส์ๆ 11 นาทีครึ่งในคุก อันนี้ขอชมทีมงานเลยครับว่าทำออกมาได้เยี่ยมมากๆ ทำออกมาได้ต่อเนื่อง เมามันส์ สาแก่ใจ และของแบบนี้ทีมงานต้องแม่นครับ การทำงานในกองถ่ายต้องสอดประสานกันถึงได้มาซึ่งผลงานที่น่าจดจำเช่นนี้
ปีนี้ถือเป็นปีแห่งการค้นหาตัวตนของแดร์เดวิลครับ หลังจากวิบากกรรมสารพัด เขาก็ต้องพบกับบททดสอบทางจิตใจไม่น้อย ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับเลยครับว่าฟิสก์แกแน่จริง สามารถเดินแผนร้ายๆ ดักหน้าดักหลังชาวบ้านได้เป็นระยะ ซึ่งก็ต้องขอยกนิ้วให้ D’Onofrio ที่พี่แกเหมาะกับการเป็นคิงพินอย่างแท้จริง และ Cox เองก็ได้พิสูจน์ตัวเองเช่นกันว่าเขานี่แหละที่สวมวิญญาณแดรืเดวิลได้อย่างเหมาะเหม็ง
นี่ก็ถือเป็นปีสุดท้ายของซีรี่ส์นี้ที่ Netflix ครับ แต่ในเวลานี้เชื่อว่าหลายคนก็คงทราบแล้วว่าอนาคตของตัวละครทั้งหลายจะเป็นอย่างไรต่อไป ซึ่งผมดีใจนะครับ เพราะอยากเห็นแต่ละตัวละครในซีรี่ส์นี้ได้กลับมาอีกครั้ง เพราะพวกเขาเล่นกันได้ดีมากจริงๆ
สรุปแบบง่ายๆ ว่าเป็นปีที่ดูสนุกครับ ยังคงเข้มข้น หม่นดาร์กตามสไตล์ การเดินเรื่องยังคงน่าติดตาม มีจุดหักเหให้เราเหวอเป็นพักๆ และมาพร้อมบทสรุปที่ถือว่าปิดท้ายเรื่องราวได้อย่างพอเหมาะ
เอาเป็นว่า 2 ปีแรกดียังไง ปี 3 ก็ยังดีอย่างงั้น ฟอร์มดีไม่มีตกจริงๆ
สี่ดาวครับ
(9/10)