ยอมรับเลยครับว่าตอนแรกที่ผมรู้ว่าด็อกเตอร์คนใหม่จะรับบทโดย Peter Capaldi นั้น ผมไม่เคยคิดเลยว่าผมจะชอบด็อกเตอร์คนใหม่คนนี้ขนาดนี้ ^_^
รู้ครับว่า Capaldi เป็นนักแสดงที่เก่ง (ดูจากตอนเล่นเป็นคาร์ดินัลริเชลิว ในซีรี่ส์ The Musketeers ก็ได้ครับ บารมีพอเหมาะมากๆ) แต่ตอนนั้นผมนึกภาพไม่ออกจริงๆ ว่าคาแรคเตอร์ของด็อกเตอร์คนใหม่ในคราบ Capaldi จะออกมาเป็นยังไง
และผลก็คือ Steven Moffat ทำได้ครับ เขาปรับทิศทางและสไตล์คาแรคเตอร์ของด็อกเตอร์ให้เข้ากับ Capaldi เช่นเดียวกับที่ Capaldi สวมบทนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม และยังมันยังกลายเป็นการเพิ่มอะไรที่สดใหม่ใส่ลงในซีรี่ส์ได้อีกด้วย
สิ่งที่สัมผัสได้เลยคือด็อกเตอร์คนนี้มีมิติมากขึ้น ความเนิร์ดความต๊องน้อยลง ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น และผยองน้อยลง ซึ่งเป็นคาแรคเตอร์ที่สัมผัสมาได้ตั้งแต่ปีก่อนครับ มาถึงปีนี้คาแรคเตอร์นั้นยังคงอยู่ ซ้ำยังดูมีพัฒนาการในแบบที่น่าสนใจขึ้นด้วย
ปีนี้ผมว่าสนุกมากครับ ตามปกติสูตรสำเร็จของ Doctor Who แต่ละปีนั้น 2 ตอนแรกจะสนุกสุด ก่อนจะค่อยๆ ลดระดับลงมาในตอนกลางๆ แล้วก็ไปสนุกอีกที 3 ตอนท้ายเลย แต่สำหรับปีนี้ ผมว่าสนุกทุกตอนครับ แต่ละตอนมีความน่าสนใจ มีบทที่น่าติดตามตลอดตั้งแต่ต้นปียันท้ายปี
หากจะยกเว้นหน่อยก็คือตอนที่ 9 Sleep No More ที่นำเสนอในเชิง Found Footage ที่อาจไม่เข้ากับความเป็นด็อกเตอร์นัก แม้หลายๆ อย่างจะดูสยองและได้อารมณ์ผวาก็เถอะ
ตอนแรกเปิดมาก็มันส์แล้วครับ มีอะไรมันส์ๆ สนุกๆ เพียบจากตอน 1 ถึงตอน 2 ซึ่งจากการสังเกตพบว่าปีนี้แต่ละตอนมักจะมาเป็นคู่ครับ นั่นคือตอน 1 ต่อด้วย 2, ตอน 3 ต่อด้วย 4 ฯลฯ อะไรแบบนี้ จะไม่ได้เป็นตอนเดียวจบแบบปีก่อนๆ ซึ่งผลที่ได้ก็นับว่าดีครับ มันทำให้เกิดความน่าติดตามแบบต่อเนื่อง และสามารถเล่นกับปมที่ซับซ้อนได้มากขึ้น (มากกว่าการต้องเล่าทุกอย่างให้จบในตอนเดียว ซึ่งขนาดของพล็อตจะใหญ่มากไม่ได้)
ผมชอบปีนี้มากกว่าที่คิดครับ คือในแง่ความมันส์หรือสีสันมันอาจจะไม่ได้มากแบบสมัย David Tennant หรือ Matt Smith เป็นด็อกเตอร์น่ะนะครับ แต่มันดูลงตัว มันส์ และสนุกตรงรายละเอียดของบทแต่ละตอน มันเป็นส่วนผสมที่พอดีระหว่างเนื้อเรื่องมันๆ ปมปริศนาเยี่ยมๆ การแสดงเจ๋งๆ และภาวะทางอารมณ์ของด็อกเตอร์ที่มีต่อเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น
ปีนี้สนุกสำหรับผมก็จริงครับ แต่มันเป็นปีที่ไม่ง่ายเลยสำหรับด็อกเตอร์ คือพี่แกต้องเจอเรื่องราวหลากหลาย ซึ่งหลายเรื่องมันก็กระทบต่ออารมณ์และความรู้สึกของเขาแน่นอน หลายเรื่องนี่จัดว่าโคตรเจ็บเลยล่ะครับ ผมเองยังอึ้งน่ะ แอบคิดระหว่างดูเลยว่า Moffat แกจัดหนักจริงในปีนี้ หลายฉากนี่ขยี้จิตใจแบบคาดไม่ถึง
ตอนที่เด็ดสุดของปี (ในใจผม) ขอยกให้ตอนที่ 11 Heaven Sent ครับ คือมันสุดยอดมากนะ ยกให้เป็น Top 3 ตอนที่ดีที่สุดของหนังชุดนี้เลยก็ว่าได้ มันเป็นอะไรที่ขยี้อารมณ์ เป็นอะไรที่ดูยิ่งใหญ่ อลังการ แต่กดดันและเจ็บปวดเหลือเกิน
ยิ่งตอนเฉลยว่าอะไรๆ เป็นอะไรนี่ ผมแทบอยากจะตะโกนออกมาดังๆ ว่า “โว้ววววววววววววววว” คือรู้สึกทรมานแทนด็อกเตอร์เลยน่ะครับ Capaldi ครองทั้งตอนได้อย่างอยู่มือจริงๆ
แอบทึ่งนะ เพราะตอนที่ว่ากำกับโดย Rachel Talalay ผู้กำกับที่ผมจำชื่อได้แม่น เพราะงานกำกับชิ้นแรกของเธอคือ Freddy’s Dead: The Final Nightmare ภาคจบ (ในสมัยนั้น) ของหนังนิ้วเขมือบ ซึ่งถ้าดูพัฒนาการจากวันนั้นมาถึงวันนี้ ถือว่าเธอมาไกลมากครับ ตอนนี้ถือว่าฝีมือเธอเข้าฝักพอดูแล้วล่ะ (จนไม่แปลกใจเลยที่เธอได้รับโอกาสให้กำกับตอนแรกของซีรี่ส์ Sherlock ปี 4 ครับ)
Capaldi เป็นด็อกเตอร์ได้แบบสนิทใจครับ ส่วน Jenna Coleman ก็เป็นคลาร่าได้ดีเช่นเดิม เพียงแต่ดีกรีความเด่นของเธอดูจะลดลง ส่วนหนึ่งคงเพราะปีนี้เทความเด่นไปที่ Capaldi มากขึ้น และอีก 2 รายที่ลืมไม่ได้คือ Ingrid Oliver ในบทออสกู๊ด ตัวละครที่เด่นมากในตอนที่ 7 และ 8 (ซึ่งเธอมีบทบาทมาตั้งแต่ปีก่อนๆ แล้ว) กับ Maisie Williams แห่ง Game of Thrones ที่ได้รับบทสำคัญไม่น้อยเหมือนกันสำหรับปีนี้
จัดว่าสนุกครับ เป็นปีที่ไม่ผิดหวังเลย รวมถึงตอนพิเศษของปีที่จัดว่าเป็นตอนสำคัญของริเวอร์ ซอง (Alex Kingston) ด้วย ^_^
อยากดูปี 10 แล้วล่ะครับตอนนี้
สามดาวครึ่งครับ
(8.5/10)