นี่ถือเป็นหนึ่งในหนังแห่งความทรงจำสำหรับผมเลยครับ เพียงแต่ “ความทรงจำ” ที่ว่านี่ อาจจะมีรายละเอียดที่แปลกๆ สักหน่อยเท่านั้นเอง
ว่าตามจริงคือผมรู้สึกกลางๆ กับหนังเรื่องนี้ครับ ถ้าถามว่าชอบไหม ก็ตอบได้ว่าไม่ถึงกับชอบอะไรมาก ชอบเป็นอย่างๆ ไป เช่น ชอบการแสดงที่โดดเด่นทะลุเมคอัพของ Jim Carrey ที่สวมบทเจ้ากริ๊นช์ได้ดีมากๆ จนถือเป็นไฮไลท์สำคัญของหนังเลยก็ว่าได้
ที่ชอบอย่างต่อมาคืองานสร้างฉากสร้างเมืองครับ พวกฉากต่างๆ นี่ทำออกมาได้ดีมาก เนรมิตออกมาได้สมกับที่เป็นหนังแฟนตาซี ไม่ว่าจะบ้านเรือนต่างๆ หรือสีสันที่หนังใช้มันสวยงาม บางฉากสีตัดกันอย่างพอเหมาะจนถือได้ว่าในแง่อาหารตานี่ หนังทำได้ดีสมทุน $123 ล้านจริงๆ
ส่วนในแง่เนื้อหา ผมก็ชอบแง่คิดหลักของหนังนะครับ หนังสอนให้เรารู้จักเอื้อเฟื้อต่อผู้อื่น สอนให้เรารู้จักเปิดใจรับความแตกต่างของเพื่อนร่วมโลกคนอื่นๆ ที่เขาอาจมีความแตกต่างจากเรา แต่หากเราเลือกที่จะมองข้ามความต่าง แล้วมองหาจุดร่วมเพื่อสานสัมพันธไมตรีต่อกัน มันก็ย่อมเกิดมิตรภาพที่ดีขึ้นมาได้
นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องการให้อภัยครับ เพราะไม่ว่าจะเจ้ากริ๊นช์หรือชาวเมืองต่างก็เคยทำสิ่งที่ผิดลงไปไม่มากก็น้อย ดังนั้นการที่จะกลับมาหันหน้าเข้าหากันได้นั้น ก็ต้องเริ่มต้นจากการให้อภัย ตามด้วยการแก้ไขปรับปรุงตัว กำจัดจุดไม่ดีที่เรามีไปเสียก่อน แล้วค่อยเริ่มต้นสานสัมพันธ์กันใหม่ อะไรที่ไม่ดีก็อย่าทำ หรือการกระทำใดของเราที่เรารู้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบ เราก็พยายามหลีกเลี่ยง งดการกระทำนั้นๆ ซะ
จริงๆ หนังมันเข้าทางผมนะครับ เพราะว่าด้วยเรื่องราวในวันคริสต์มาส วันแห่งการแสดงน้ำใจและความเอื้ออาทรต่อกัน ซึ่งจริงๆ หนังก็มีประเด็นสาระที่เหมาะกับเทศกาลอยู่ครับ เพียงแต่ในแง่ของการเดินเรื่องแล้ว หนังออกจะเรื่อยเอื่อยไปสักหน่อยเท่านั้นเอง
ครับ จุดที่ทำให้ผมรู้สึกเรื่อยๆ กับหนัง (ไม่ถึงกับชอบมาก) นั่นก็คงเพราะหนังมันเรื่อยๆ น่ะครับ การเดินเรื่องระหว่างทางมันไม่ได้มีพลังชวนติดตามสักเท่าไร ว่ากันตรงๆ เลยคือหนังพึ่งพาพลังของ Carrey เป็นหลัก จนถ้าเราลองถอดการแสดงของ Carrey ออกไปแล้วเหลือแค่ตัวหนังล้วนๆ หนังอาจจะน่าเบื่อขนานหนักเลยก็ได้ เพราะตัวละครอื่นๆ ดูนิ่ง แบนราบ ไม่มีสีสัน อาจจะยกเว้นหนูน้อยซินดี้ ลู ฮู (Taylor Momsen) ไว้สักคน เพราะเธอยังดูมีอะไรบ้าง ในขณะที่ตัวละครอื่นๆ ดูไม่น่าสนใจ และบางทีก็น่าหมั่นไส้ซะอย่างนั้นด้วย (ประมาณว่าสมควรแล้วหากกริ้นช์จะโกรธน่ะครับ)
หนังกำกับโดย Ron Howard ซึ่งฝีมือของเขาก็ขึ้นๆ ลงๆ ครับ เรื่องที่ทำแล้วดีก็มีเยอะ แต่ที่ทำแล้วกลางๆ ก็มีไม่น้อย อย่างเรื่องนี่นี่ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่อยู่ในระดับกลางๆ ครับ เพราะหนังพึ่งพลังของ Carrey อย่างเดียว ในขณะที่ส่วนประกอบอื่นๆ (นอกจากงานฉากที่สวยมากๆ) กลับดูธรรมดา ดูเรื่อยๆ นิ่งๆ ไม่มีกิมมิคมาเพิ่มความน่าสนใจ การเล่าเรื่องก็ไม่มีจุดดึงดูดเท่าที่ควร
ซึ่งที่ผมบอกว่าหนังเรื่องนี้อยู่ในความทรงจำ ก็เพราะนี่ถือเป็นหนังเรื่องแรกๆ (สำหรับผม) ที่ทำให้รู้จักว่าหนังที่ต้องอาศัยพลังดาราเพียงคนเดียวอุ้มหนังทั้งเรื่องนั้นมันเป็นเช่นไร
และนอกจากนั้น นี่ยังเป็นหนังที่ทำให้ผมเห็นแบบชัดๆ เป็นเรื่องแรกว่าหนังเรื่องนี้ทำเงินในอเมริกาถึง $260 ล้าน แต่ทำนอกอเมริกาแค่ $85 ล้านเท่านั้น ซึ่งเป็นอะไรที่โคตรจะผิดวิสัย เพราะปกติรายได้นอกอเมริกามันน่าจะพอสูสีกับในอเมริกา (บางทีมากกว่าด้วยซ้ำ) แต่ที่เป็นแบบนี้นั้นมันสะท้อนให้เห็นว่าหนังเรื่องนี้ทำออกมาเอาใจคนอเมริกันเป็นหลัก เพราะคนอเมริกันส่วนใหญ่ก็โตมากับเรื่องราวของ Dr.Seuss ในขณะที่ต่างประเทศนั้นอาจมีเพียงส่วนน้อยที่รู้จักนิทานเรื่องนี้ และมีเพียงส่วนน้อยรู้จัก Dr.Seuss… จริงๆรายได้นอกอเมริกานั้นเชื่อว่าส่วนใหญ่เป็นเพราะพลังดาราของป๋า Jim Carrey เป็นหลักครับ
นี่แหละครับสิ่งที่ผมจดจำเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ คือไม่ได้ชอบ แค่รู้สึกโอเคในระดับกลางๆ ความดีความชอบส่วนมาก (หรือเกือบหมด) ยกให้การแสดงของ Carrey และหนังเรื่องนี้ทำให้ผมเริ่มจะเข้าใจอะไรๆ เกี่ยวกับตลาดหนังนอกอเมริกามากขึ้น
สำหรับตัวหนังแล้ว ก็ต้องแล้วแต่ล่ะครับ เด็กๆ ดูแล้วอาจจะชอบ หรือใครที่ชอบหนังแฟนตาซีก็อาจจะชอบ เพราะหนังดีไซน์ฉากออกมาได้สวยดี
สองดาวครับ
(6/10)