ไม่ว่า Eraser: Reborn จะเป็นภาคต่อหรือรีบูทก็ตาม สิ่งหนึ่งที่บอกได้แบบเต็มปากเต็มคำคือหนังไม่น่าจดจำสักเท่าไรครับ
หนังเอาโครงมาจากภาคแรกแบบเต็มๆ เปิดมาก็แนะนำเจ้าหน้าที่เมสัน พอลลาร์ด (Dominic Sherwood) ที่ภารกิจหลักของเขาคือลบตัวตนของพยานที่ถูกหมายหัว และพยานรายล่าสุดที่เขาต้องดูแลก็คือ รีน่า คิมูระ (Jacky Lai) แต่แล้วก็มีหนอนในองค์กรครับ เมสันกับรีน่าเลยต้องจับมือกันหาทางเอาตัวรอดมาให้ได้
สภาพของหนังก็เหมือนกับ Deep Blue Sea 2 น่ะครับ ที่เอาเนื้อเรื่องภาคแรกมาเล่าใหม่ หลายฉากนี่แทบจะถอดกันออกมาเลย เนื้อเรื่องเหมือน การลำดับเรื่องก็เหมือน เปิดเรื่องเหมือน กลางเรื่องเหมือน ฉากไคลแม็กซ์ตอนสู้กันก็ไปลงเอยที่ท่าเรือ เหมือนภาคแรกเป๊ะ (ต่างแค่ฉบับแรกบู๊ตอนกลางคืน ส่วนฉบับนี้ไปไคลแม็กซ?กันตอนกลางวัน) แต่ที่ต่างกันอย่างมากมายคือความสนุกที่สู้ของเก่าไม่ได้แม้แต่น้อย
ฉากแอ็กชันไล่ล่าออกมาธรรมดาครับ ฉากยิงกันก็ยิงแบบยิงไปตามหน้าที่ ไม่ได้มีความเร้าใจตื่นเต้นสักเท่าไร เรียกว่าใครคาดหวังความมันส์คงต้องทำใจ บอกได้เลยว่าหนังบู๊เกรดบีบางเรื่องยังทำออกมาได้เร้าใจกว่าครับ
ที่จำได้แม่นเลยในภาคก่อนคือฉากในความทรงจำ คือจะมีจระเข้ออกมางับคน มาภาคนี้หนังโชว์ความเหนือกว่าโดยการเอานกกระจอกเทศ ฮิปโป และแรดมาเข้าฉากครับ ประมาณว่าชนะด้วยฉากบู๊ไม่ได้ ก็อัญเชิญสัตว์โลกน่ารักมาใส่ลงในจอให้เยอะขึ้น ให้มันดูมีอะไรมากกว่าภาคแรกสักหน่อยก็ยังดี – นับถือในความพยายามจริงๆ เลยเชียว (แต่ฉากแรดวิ่งกระแทกคนนั้น ดู CG ชัดมากมาย)
หนังกำกับโดย John Pogue อดีตมือเขียนบท U.S. Marshals และ The Skulls ที่ก่อนหน้านี้โดดมารับงานกำกับหนังภาคต่อแบบลงแผ่นอย่าง Quarantine 2: Terminal และ Deep Blue Sea 3 ซึ่งบอกได้เลยว่า Eraser: Reborn เรื่องนี้สนุกน้อยกว่า 2 เรื่องนั้นซะอีก
สรุปว่าดูภาคแรกใหม่อีกรอบดีกว่าครับ ตอบโจทย์ความมันส์ได้เหมาะเหม็งกว่าเยอะ
ดาวกว่าครับ
(4.510)