Europe Raiders พยัคฆ์สำอาง กระแทกยุโรป

หลังจากไปออกลีลาบู๊ผจญภัยปนตลกแบบเบาๆใน Monster Hunt 2 ไปเมื่อต้นปี ล่าสุดซูเปอร์สตาร์จากฮ่องกง เหลียงเฉาเหว่ย ก็มีผลงานออกมาติดให้แฟนๆ ได้ชมกันต่อใน Europe Raiders พยัคฆ์สำอาง กระแทกยุโรป ซึ่งเป็นภาคต่อจาก Seoul Raiders (2005) และ Tokyo Raiders (2000) ที่ในภาคนี้ไปปฏิบัติภารกิจไกลถึงอิตาลี ภายใต้การกำกับของ จิงเกิล หม่า เหมือนเดิม

Europe Raiders พยัคฆ์สำอาง กระแทกยุโรป ว่าด้วยเรื่องราวการปฏิบัติภารกิจสุดอันตราย และเสี่ยงตายกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา สายลับมือฉกาจอย่าง หลินกุ้ยเหยิน จึงต้องรวบรวมสมาชิกทีมสุดยอดฝีมืออย่างสายลับคู่ปรับ มิสหวาง แฮกเกอร์ฝีมือระดับโลก ร็อกกี และสาวนักสู้ผู้เต็มไปด้วยความลับ โซฟี เพื่อดำเนินภารกิจตามล่าค้นหา หัตถ์เทวะ เทคโนโลยีสอดแนมระดับพระกาฬ โดยทีมของเขามีเวลาเพียง 72 ชั่วโมงเท่านั้น ก่อนที่หัตถ์เทวะจะตกไปอยู่ในมือขององค์กรลึกลับที่หมายจะใช้มันเพื่อเปิดโปงผู้คนทั่วโลก

นับเป็นภาพยนตร์แอคชั่นภาคต่อที่มีอายุมากที่สุดอีกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว สำหรับ Europe Raiders ด้วยเวลาเกือบ 20 ปี นับตั้งแต่มีภาคแรกจนได้มีภาคต่อๆ มา เชื่อว่าบางคนอาจจะเกิดไม่ทันด้วยซ้ำ แต่หนังอันเปรียบเสมือนภาษาสากลที่ไม่ว่าจะชนชาติใด หรืออยู่ในวัยใดก็สามารถเข้าใจและสนุกไปกับเรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดออกมาได้ เช่นเดียวกันกับสิ่งที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์เรื่องนี้

ด้วยความที่เป็นหน้าหนังเป็นแนวแอคชั่นบวกกับมีดรามาผสมการจารกรรมหน่อยๆ จึงค่อนข้างคาดหวังว่ามันน่าจะสนุกและสร้างความเพลิดเพลินได้ไม่น้อย (การันตีจากการสร้างมาหลายภาค) แต่เมื่อได้เข้าไปชมภาพยนตร์แล้วกลับพบว่า มันไม่ได้สนุกมากอย่างที่คิด อาจเป็นเพราะช่วงหลังๆ มานี้ได้ชมภาพยนตร์แนวนี้มาค่อนข้างบ่อย จึงอยากเห็นความแตกต่างไปจากเรื่องอื่นบ้าง ซึ่งก็ไม่ตอบโจทย์เท่าที่ควร

แต่ด้วยการออกแบบดีไซน์ฉากแอคชั่นและลีลาบู๊ที่ค่อนข้างดี ก็ถือว่าพอจะลดความน่าเบื่อลงไปบ้าง ประกอบกับการสร้างเรื่องราวที่ใช้เทคโนโลยีที่เวอร์วังอลังการ ถึงขนาดแฮ็กข้อมูลลับกันแบบง่ายๆ ระเบิดภูเขาเผากระท่อมกันด้วยปลายนิ้ว ลิปติกที่ทาแล้วดักฟังได้ (?) และไม่นับความไฮเทคอีกหลายต่อหลายอย่าง แถมยังมีการหักมุมปิดท้ายได้แบบสวยๆ ไปอีกซึ่งมันสามารถทำให้เราสนุกไปกับความเกินจริงเหล่านี้ได้ดีมากๆ

แถมงานนี้เรายังได้เห็นฝีไม้ลายมือของดาวบู๊สาวไทย จีจ้า ญานิน มาร่วมออกลีลาแอคชั่นด้วย หากมองในภาพรวมของภาพยนตร์ก็ถือว่าสร้างความบันเทิงได้เป็นอย่างดี เชื่อว่าแฟนๆ น่าจะสนุกไปกับการปฏิบัติภารกิจของตัวละครทั้งหลายได้ จะว่าไปก็สามารถเทียบชั้นกับ พยัคฆ์ร้าย 007 หรือ Mission Impossible ได้เลย (อย่าบอกเชียวว่าทั้งสองเรื่องนั้นสมเหตุสมผลไปเสียทุกอย่าง) หากจะเรียกว่าเป็นแนวสายลับฉบับเอเชียก็คงไม่ผิดนัก จะเชื่อหรือไม่ต้องไปพิสูจน์ด้วยตาด้วยเอง