ดูแล้วสรุปได้ในทันทีเลยว่าชอบครับ มันอาจจะไม่ถึงกับสุดๆ โคตรๆ หรือสร้างความตื่นตาแปลกใหม่อะไรขนาดนั้น แต่ถือได้ว่าเป็นหนังที่ให้ความบันเทิงได้อย่างดี และสามารถจูงมือพาเรากลับสู่โลกแห่งเวทมนตร์อันน่าหลงใหลได้อีกครั้ง
ตัวเอกในการผจญภัยครั้งนี้คือ นิวท์ สคามันเดอร์ (Eddie Redmayne) ที่มาเยือนอเมริกาพร้อมกระเป๋าที่เต็มไปด้วยสัตว์วิเศษครับ ทีนี้เกิดมีสัตว์บางตัวหลบหนีออกมา เขาก็เลยต้องรีบตามพวกมันกลับมาก่อนจะก่อให้เกิดความวุ่นวาย
หนังยังมีพล็อตรองว่าด้วยบรรยากาศอันมาคุระหว่างเหล่าผู้วิเศษที่พยายามเก็บตัวให้พ้นจากสายตาของมนุษย์ธรรมดา กับเหล่ามนุษย์ที่ต่อต้านพ่อมดแม่มดซึ่งพล็อตหลังนี่เองที่ทำให้ความเข้มข้มของเรื่องราวในภาคนี้เพิ่มขึ้น
ช่วงต้นๆ ของหนังถือว่าเรื่อยๆ ครับ เดินเรื่องแบบเพลินๆ อาจจะยังไม่มีอะไรมาก เหมือนเป็นการปูพื้นตามสไตล์หนังทั่วๆ ไป ซึ่งของดีของเด็ดของหนังน่ะมันเริ่มช่วงกลางๆ เริ่มตั้งแต่ตอนที่นิวท์ก้าวลงไปในกระเป๋าของเขาน่ะครับ เมื่อนั้นเสน่ห์ของโลกเวทย์มนต์จะเริ่มทำงานแบบเป็นเรื่องเป็นราว
แล้วจากนั้นหนังก็น่าติดตามไปจนจบครับ มีปมมีอะไรให้ตามอยู่เรื่อยๆ พอถึงช่วงไคลแม็กซ์ถือว่าทำได้ไม่เลวครับ มันส์กว่าที่คาดไว้เหมือนกัน และยังมีช่วงที่ทำให้คนดูประทับใจได้อีกด้วย (อันนี้เกินคาดหน่อยๆ เพราะไม่นึกว่าจะมีอะไรที่มันซึ้งๆ อยู่ในหนังเรื่องนี้)
ประสบการณ์ที่น่าสนใจของผมระหว่างดูหนัง คือ พอดูแล้วผมรู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างหนังที่สร้างจากบทภาพยนตร์และหนังที่สร้างจากนิยาย ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าบทหนังเรื่องนี้ J.K. Rowling เขียนคนเดียวเลย ซึ่งเธอเล่าได้สนุกดีครับ เพียงแต่รายละเอียด หรือ “โลก” ในหนังเรื่องนี้อาจยังไม่เปี่ยมมนต์เท่าตอนใน Harry Potter
บอกก่อนว่าผมจะไม่เปรียบเทียบในเชิงว่าอันไหนดีกว่านะครับ เพราะแม้เนื้อเรื่องจะอยู่ในจักรวาลเดียวกัน แต่เอาเข้าจริงมันมีความต่างในหลายๆ ด้าน ก็เลยแค่อยากชวนคุยถึงความแตกต่างแบบสนุกๆ เท่านั้น 😊
จำได้ว่าตอนดู Harry Potter นั้น ผมรู้สึกถึงมนต์เสน่ห์ในหนัง รู้สึกเหมือนว่าได้ก้าวเข้าไปในโลกแห่งเวทย์มนต์ ได้ก้าวเข้าไปในโลกที่มีตำนาน, เรื่องราว, ทุกตัวละครมีที่มา, ทุกชะตากรรมมีความเกี่ยวเนื่องกัน ผมแทบจะรู้สึกเลยว่าอิฐแต่ละก้อนในฮอกวอตส์นั้นมีเรื่องราวของตัวเอง
ส่วนใน Fantastic Beasts มันยังไม่รู้สึกถึงขนาดนั้นครับ ส่วนหนึ่งอาจเพราะจังหวะการเดินเรื่องที่มีความเป็นภาพยนตร์มากกว่า เป็นเหมือนการต่อจุด เล่าจาก A ไป B ไป C ไป D ฯลฯ อาจมีการทิ้งปมชวนสงสัยเป็นพักๆ แต่อารมณ์จะยังไม่ถึงขั้นตอนดู Harry ที่เหมือนเราโดนโอบล้อมด้วยไม้กายสิทธิ์, ตำนานลอร์ดมืด, ของวิเศษต่างๆ, ร่มเงาแห่งปริศนา และเรื่องเล่าเมื่อครั้งอดีต ฯลฯ
แต่ก็ต้องถือว่า J.K. เล่าเรื่องได้โอเคล่ะครับ มันอาจไม่ถึงกับลื่นตลอดๆ แต่ก็สนุกและคงเอกลักษณ์ของโลกเวทย์มนต์ไว้ได้ ซึ่งจะว่าไปแล้ว J.K. อยู่กับโลกของ Harry มาหลายสิบปีน่ะครับ ไม่แปลกหากรายละเอียดใน Harry มันจะเต็มไปด้วยจินตนาการ เพราะเธออยู่กับมัน นอนพร้อมมัน ฝันถึงมัน สัมผัสถึงมัน จนทำให้บทภาพยนตร์ของ Harry ทุกภาค ล้วนเต็มไปด้วย “เรื่องราวระหว่างบรรทัด”
ในขณะที่โลกของนิวท์และเรื่องราวของยุคสมัยในหนังมันอาจจะ “ยังเยาว์” อยู่ มันอาจยังไม่มีกลิ่นอายของ “เรื่องราวระหว่างบรรทัด” แบบชัดเจน ซึ่งของแบบนี้ต้องรอดูต่อไปครับ เชื่อว่าพอเธอวาดภาพมันได้ครบ เราน่าจะได้เห็นอะไรที่มันมีเสน่ห์ มีมนต์ และมีรายละเอียดมากขึ้น (เพราะตอนแรกมีแผนจะทำแค่ 3 ภาค แต่คาดว่า J.K. คงปิ๊งไอเดียได้ภาพได้เรื่องจนครบองค์ เลยประกาศเรียบร้อยว่าจะสร้างเป็น 5 ภาค)
David Yates (Harry Potter 5 – 7.2) ตามมากำกับครับ และน่าจะทำไปจนครบ 5 ภาคเลย ซึ่งก็ถือว่าเขาเหมาะกับการทำหนัง Harry นะ บรรยากาศและอารมณ์หลายๆ อย่างถือว่าได้ที่ มีกลิ่นอายโลกของ Harry Potter แต่ก็มีสไตล์ในแบบโลกเวทย์มนต์ของผู้ใหญ่ด้วย
Redmayne เหมาะกับบทนิวท์ครับ จริงๆ เขาแสดงได้ดี และคาแรคเตอร์เขาก็มีเอกลักษณ์ อีกทั้งแนวคิดของนิวท์ยังดูเป็นฮีโร่ใจงามมากๆ เพียงแต่ความเด่นของนิวท์อาจจะยังไม่มากเท่าไร ส่วนหนึ่งอาจเพราะเขาไม่ได้มาพร้อมความเด่นตามแบบฉบับตัวเอกของหนังสไตล์นี้ (เช่น แฮร์รี่) ที่มักจะเก่ง กล้า ห้าว พร้อมสู้ พร้อมลุย ใจเร็ว (ตามสไตล์ “ผู้ถูกเลือก” น่ะครับ)
ส่วนนิวท์จะมาในแนวอ่อนโยน หงิมๆ Slowlife ไม่ทำใครก่อน ซึ่งถือเป็นคนละแนวกับแฮร์รี่เลยครับ เลยไม่แปลกที่คาแรคเตอร์แบบนี้จะดูไม่เด่น ไม่เป็นผู้นำ ก็ถือเป็นการเลือกคาแรคเตอร์พระเอกได้น่าสนใจดีครับ เชื่อว่าในภาคต่อๆ ไป เราคงได้เห็นพัฒนาการหรือไม่ก็ได้เห็นตัวตนบางมุมที่เรายังไม่เห็น
ดารารายอื่นถือว่าเล่นได้ดีครับ Katherine Waterston ไปได้สวยในบททีน่า ที่ตอนแรกอาจดูป้านิดๆ แต่พอเวลาผ่านไป เธอดูมีเสน่ห์ขึ้นนะ, Colin Farrell ก็เวิร์กมากๆ ในบท เพอร์ซิวัล เกรฟส์ ยอมรับว่าระหว่างดูผมรู้สึกว่า Farrell แกเล่นได้มีพลังมาก อาจจะมากกว่าหนังเรื่องไหนๆ ที่ผมเห็นแกเล่นมาเลยก็ว่าได้ และพอดูจนจบก็ตระหนักเลยครับว่าบทนี้ต้อง Farrell คนเดียวเท่านั้นถึงจะเอาอยู่
ตัวละครที่ผมชอบสุด… จริงๆ ผมว่าผมรักเลยนะ คือโควอลสกี้ครับ ตอนต้นๆ พี่แกอาจดูน่ารำคาญเล็กๆ นะ แต่ถือเป็นส่วนน้อยมากๆ ครับเพราะหลังจากนั้นพี่แกแสดงความเปิ่น น่ารัก แสดงความเป็นคนซื่อคนดีแบบเต็มร้อย จนพอถึงตอนท้ายๆ นี่ กลายเป็นว่าผมรักนายโควอลสกี้คนนี้ไปแล้วล่ะ
อันนี้ชม Dan Fogler เลยครับ แสดงได้ดีจริงๆ ยิ่งเขาได้แสดงคู่กับ Alison Sudol ในบทควีนนี่ น้องของทีน่า ก็ยิ่งเสริมความเด่นซึ่งกันและกันครับ ไปๆ มาๆ ผมรักตัวละครคู่นี้แบบเต็มๆ เลย น่ารักมากมายจริงๆ และอีกคนที่ขอชื่นชมก็คือ Ezra Miller แสดงดี และพี่แกกล้าจริงๆ (ไม่กล้าจริง ไว้ผมทรงนั้นไม่ได้นะนั่น 555)
งานภาพ งาน CG ก็หายห่วงครับ เพียงแต่งานศิลป์อาจยังไม่โดดเด้ง จุดที่ยกนิ้วให้จริงๆ คือภาพดินแดนสัตว์วิเศษน่ะครับ ทำออกมาได้น่าสนใจดี ส่วนงานดนตรีก็ได้ James Newton Howard มาทำ ถือว่าสานต่อมนต์เพลงสไตล์โลกเวทย์มนต์ของหนังชุดนี้ได้อย่างพอเหมาะ
ผมชอบประเด็นหลักของหนังนะครับ ธีมหลักของภาคนี้ว่าด้วยเรื่อง “ผลร้ายอันเกิดจากความไม่เข้าใจ” จะเห็นได้ว่าเรื่องวุ่นวายสารพัดที่เกิด มันมีสาเหตุมาจากความไม่เข้าใจกัน การตั้งกำแพงใส่กัน หรือไม่ก็เอาแต่กลัวกันจนไม่คิดที่จะเปิดใจเรียนรู้กันและกัน
พวกมนุษย์กลัวผู้วิเศษ ส่วนพวกผู้วิเศษก็ไม่เข้าใจมนุษย์ จนเรื่องมันเกิดซ้ำซ้อนมากขึ้น ปัญหาทับถมหมักหมมมากขึ้น ซึ่งก็เป็นประเด็นที่ J.K. นำมาสะท้อนเสมอ ตั้งแต่ Harry มาจนถึงเรื่องนี้ (จริงๆ มีหนังหลายเรื่องพูดถึงสิ่งเหล่านี้ครับ แต่มันดูเหมือนจะไม่หายไปจากสังคมเสียที)
เมื่อมองในมุมนี้ก็ทำให้รู้สึกครับว่า นิวท์ ถือเป็นตัวเอกที่เหมาะนะสำหรับโลกที่มนุษย์ทั้งหลาย (ไม่ว่าจะสายพันธุ์ไหน) เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจแบบนี้ เพราะนิวท์นั้นเป็นคนประเภทพยายามเข้าใจสิ่งมีชีวิตต่างๆ พยายามเข้าใจในสิ่งที่คนมากมายเลือกที่จะ “ช่างมัน”… เขาอาจเหมาะแก่การเป็น “ฮีโร่” ในยุคสมัยแบบนี้ก็ได้
เกร็ดน่าสนใจของหนังเรื่องนี้คือ Redmayne เคยมาคัดตัวในบท ทอม ริดเดิ้ล ใน Harry Potter and the Chamber of Secrets ด้วยนะครับ แต่เขาก็ไม่ได้เล่นบทที่ว่า ในขณะที่คราวนี้ J.K. บอกแต่เริ่มเลยว่า คนเดียวที่เธอจะให้รับบทนิวท์คือ Redmayne เท่านั้น
เรื่องราวในหนังเกิดในปี 1926 ซึ่งเป็นปีที่ ทอม ริดเดิ้ล (หรือ ลอร์ด โวลเดอร์มอร์) ถือกำเนิดครับ เขาเกิดในวันที่ 31 ธันวาคม ปี 1926
โดยรวมแล้วหนังทำออกมาได้ดีครับ ดูสนุกเพลิดเพลิน เพียงแต่อาจยังไม่สุดเท่านั้นเอง สารภาพว่าในบางขณะผมก็รู้สึกว่าฉากการตามล่าสัตว์วิเศษแต่ละตัวนั้น น่าจะสนุกได้อีก และไปๆ มาๆ พล็อตรองที่ว่าด้วยเรื่องสิ่งผิดปกติที่เกิดในเมืองนั้นจะดูน่าติดตามกว่าด้วย แต่ก็เอาเถอะครับ โดยรวมทำออกมาได้เพลินก็พอใจแล้ว
หากใครเป็นแฟนหนังโลกเวทย์มนต์ชุดนี้ก็อยากให้ลองตามไปพิสูจน์กันครับ เชื่อว่าน่าจะสนุกกับหนังได้ไม่ยาก ส่วนผมก็เตรียมรอดูภาคต่อครับ ถ้าดูจากเนื้อเรื่องแล้วมันก็น่าจะสนุกไม่ใช่น้อยเลยล่ะ 😊
+++++++++++++++++++++
++ ถัดจากนี้มีสปอยล์ครับ ++
++ ไม่อยากทราบข้ามได้ ++
+++++++++++++++++++++
1. ไม่น่าเชื่อว่าฉากที่โควอลสกี้จะโดนลบความจำนี่ผมอินนะ คือเกือบร้องไห้น่ะครับ รู้สึกว่าพี่แกน่ารักจริงๆ และแสนดีเหลือเกิน ฉากที่พี่แกเดินออกไปกลางสายฝนนั้น ผมว่ามันสวยงามนะ เป็นฉากที่ได้อารมณ์มากๆ ฉากหนึ่งเลยล่ะ
และคงไม่ต้องบอกว่าผมยิ้มแค่ไหนเมื่อฉากสุดท้ายมาถึง คือจริงๆ ก็เดาได้แหละครับว่ามันคงจบแบบนี้ จริงๆ มันเชยเลยด้วยซ้ำ แต่มันเป็นความเชยที่อร่อยเหลือเกิน มันเป็นมุกเดิมๆ ที่เรา “รัก” จะพบเจอมันอีกเรื่อยๆ
2. ส่วนฉากเฉลยตัวตนเกรฟส์นี่เป็นฉากที่ชอบมากอีกฉากหนึ่ง มันรู้สึกในขณะนั้นว่า “นี่แหละ ขนบของหนัง Harry” มันต้องหักมุมอะไรแบบนี้เสมอ
3. เรื่องของเครเดนซ์ (Ezra Miller) อันนี้รู้สึกเห็นใจเหมือนกันนะ เหมือนชะตากรรมเขามีแต่เป็นฝ่ายโดนกระทำ โดนพวกมนุษย์กดขี่จนไม่มีที่ยืนแล้ว พวกผู้วิเศษยังอุตส่าห์จะมารุมสังหารอีก… เขาคงถามตัวเองด้วยความเจ็บช้ำน่ะครับว่า “ฉันเกิดมาทำไม?”
ฉากที่ว่านี่มีแค่พวกนิวท์กับเกรฟส์ (หรือกรินเดลวัลด์) เท่านั้นที่พยายามจะปกป้อง โดยส่วนตัวผมว่ามันมีความหมายดีนะ ฉากนี่สื่อให้เห็นว่าพวกเขาทั้งสองเหมือนเป็นคนละขั้ว แต่ก็มีจุดยืนบางอย่างอยู่บนพื้นที่เดียวกัน
ลึกๆ แล้วรู้สึกว่าถ้ามีการเล่นจุดนี้ดีๆ เราคงได้เห็นอะไรน่าสนใจอีกเยอะ ประมาณว่าเป็น “ไม่ใช่มิตร แต่ก็ไม่เชิงศัตรู” มันคงเป็นความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกกับตัวร้ายที่สร้างฟิลลิ่งสดใหม่ให้กับหนังชุดนี้ได้ (ซึ่งจะต่างจากรุ่นแฮร์รี่กับโวลเดอมอร์ที่ต้องฆ่ากันให้ตายอย่างเดียว)
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)