Father of the Bride (2022) ฟาเธอร์ออฟเดอะไบร์ด

Untitled07846

บางครั้งการดูหนังด้วยความเข้าใจ มันก็ให้ความรู้สึกที่ดีเหมือนกันนะครับ ^_^

หลายท่านคงทราบดีว่า 1 ในหนังที่ผมรักที่สุดตลอดกาลคือ Father of the Bride ฉบับปี 1991 ซึ่งผมรักด้วยหลายเหตุผลครับ นอกจากหนังจะเบาสมอง กลมกล่อม และน่ารักโดนใจแล้ว นี่ยังเป็นหนังที่ไม่ใช่แอ็กชันเพียงเรื่องเดียวที่พอผมเปิดเมื่อไร พ่อของผมจะต้องมานั่งดูด้วยเสมอ และด้วยความที่ผมมีลูกสาว เลยทำให้หนังเรื่องนี้มีความหมายต่อผมมากขึ้น กะไว้ว่าสักวันหนึ่งจะเอามานั่งดูกับลูก

ต้นฉบับของ Father of the Bride คือนิยายที่เขียนโดย Edward Streeter เมื่อปี 1949 ครับ ดัดแปลงเป็นหนังครั้งแรกในปี 1950 ฉบับนั้นได้ Spencer Tracy มาเป็นคุณพ่อตา และ Elizabeth Taylor มารับบทลูกสาว หนังประสบความสำเร็จติดอันดับหนังทำเงินประจำปี ทำกำไรไปหลายล้าน จนมีภาคต่อตามออกมาในชื่อ Father’s Little Dividend

จากนั้นปี 1961 ก็มีการดัดแปลงเป็นฉบับซีรี่ส์ครับ ได้ Leon Ames มารับบทคุณพ่อตา ส่วนฉบับปี 1991 ที่ผมรักนั้นจะแตกต่างกว่าเขาหน่อย เพราะหนังไม่ได้ดัดแปลงจากนิยายโดยตรง แต่เป็นการรีเมคจากฉบับปี 1950 โดยสามีภรรยา (ในขณะนั้น) อย่าง Charles Shyer และ Nancy Meyers ได้นำเอาเค้าโครงเรื่องราวที่ Frances Goodrich และ Albert Hackett ดัดแปลงไว้มาถ่ายทอดเป็นเรื่องราว

ฉบับปี 1991 ก็ประสบความสำเร็จทำเงินไป $89 ล้าน และมีการทำภาคต่อออกมาในปี 1995 ทำเงินไป $76 ล้าน ถือว่าไม่เสียชื่อภาคแรก และยังมีการทำภาค 3 ออกมาในฉบับหนังสั้นในปี 2020 โดยดำเนินเรื่องผ่าน Zoom (เพราะถ่ายทำกันในช่วงโควิดระบาด) และกำกับโดย Nancy Meyers

ส่วนฉบับล่าสุดปี 2022 นี้ก็กลับมาดัดแปลงจากนิยายครับ ได้ Matt Lopez มาปรับเรื่องราวให้เป็นพ่อตา จ. จุ้นฉบับละติน ส่วนหน้าที่กำกับก็ตกเป็นของ Gary Alazraki นักทำหนังชาวเม็กซิโกที่โด่งดังในบ้านเกิดจากหนังเรื่อง Nosotros los Nobles

Untitled07845

นอกจากเปลี่ยนสัญชาติตัวละครแล้ว โครงสร้างหลักๆ ยังเหมือนเดิมครับ บิลลี่ เฮอเรรา (Andy Garcia) ต้องมาเจอกับเรื่องเซอร์ไพรส์สุดขีดเมื่อโซเฟีย (Adria Arjona) ลูกสาวของเขา กลับมาบ้านพร้อมประกาศข่าวว่าเธอกำลังจะแต่งงาน

แน่นอนว่าบิลลี่เองก็ไปไม่เป็นครับ เพราะนอกจากลูกจะแต่งงานแบบสายฟ้าแล่บแล้ว เขายังมีปัญหาชีวิตคู่กับอิงกริด (Gloria Estefan) ภรรยาของเขาด้วย เลยทำให้พิธีวิวาห์หนนี้เต็มไปด้วยเรื่องวุ่นวาย แต่ขณะเดียวกันมันก็มอบบทเรียนอันมีค่าให้กับเขาด้วย

ที่ผมเกริ่นไว้ว่า “ดูหนังเรื่องนี้ด้วยความเข้าใจ” นั้นก็เพราะผมเดาทางของหนังได้ตั้งแต่ตอนดูตัวอย่างครับ อย่างแรกที่ตระหนักเลยคือหนังจะไม่ออกมาในแนวละมุนละไม อบอุ่นน่ารักแบบฉบับปี 1991 แน่นอน สไตล์จะต้องออกมาในโทนละติน มีความเข้มๆ แกร่งๆ ถ้าเปรียบเป็นกาแฟก็คงเป็นเอสเพรสโซ่ ไม่ใช่ลาเต้ รวมไปถึงดนตรีก็จะต้องออกมาในโทนครึกครื้น เจือกลิ่นเม็กซิกันแทนที่จะเป็นดนตรีแนวหนังครอบครัว

และด้วยความที่ดู Father of the Bride ฉบับก่อนๆ รวมกันน่าจะเกินร้อยรอบ ก็ทำให้รู้ครับว่าทิศทางของเรื่องตอนแรกจะต้องแนะนำตัวละคร จากนั้นพอลูกสาวประกาศว่าจะแต่งงาน คุณพ่อตาก็จะสติรวน ทำอะไรแปลกๆ เพี้ยนๆ รวมถึงก่อปัญหาสารพัดจนเรื่องจะต้องวุ่นวายใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ต้องมีเรื่องกับฝ่ายเจ้าบ่าวด้วย จนถึงจุดหนึ่งเมื่อคุณพ่อตาคิดได้ เมื่อนั้นเขาก็จะเริ่มแก้ไขความวุ่นวายนั้น และช่วยให้ลูกสาวได้มีพิธีแต่งงานที่ดีที่สุด เท่าที่เขาจะสามารถมอบให้กับเธอได้

แล้วหนังก็เป็นไปตามนั้นครับ ช่วงต้นคุณพ่อตาก็จะทำเรื่องไว้ ค่อยๆ ไต่ระดับจนมันลุกลามใหญ่โต ซึ่งด้วยเพราะหนังออกมาในโทนละติน อีกทั้งสิ่งหนึ่งที่รู้สึกได้ในหนังฉบับนี้คือ หนังดูจะเน้นดราม่ามากกว่าจะเน้นเบาสมอง มันเลยจะไม่ละมุนละม่อมสักเท่าไร บางจังหวะก็มีความล้งเล้งบ้าง แต่ก็อย่างที่บอกน่ะครับ ผมดูอย่างเข้าใจ กะไว้แล้วว่ามันต้องประมาณนี้แหละ โทนความวุ่นวายมันก็จะดิบๆ เข้มๆ ตามสไตล์แบบนี้แหละ เลยทำให้ผ่านช่วงครึ่งแรกมาได้แบบเพลินๆ คือยังไม่ถึงกับชอบมาก แต่ก็โอเค ดูได้แบบเรื่อยๆ

ครึ่งแรกเป็นไปตามคาด แต่ครึ่งหลังนี่ออกจะเกินคาดอยู่ครับ ที่ว่าเกินคาดนี่คือเข้าท่ากว่าที่คิด อย่างตัวละคร อาดาน (Diego Boneta) เจ้าบ่าวของเรื่องดูเป็นคนน่ารักและพึ่งพาได้มากกว่าที่คิด ฉากที่บิลลี่ปรับทุกข์กับอาดานนั้นเป็นอะไรที่น่ารักดีครับ

Untitled07847

จุดหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าเข้าท่าในฉบับนี้คือการที่หนังกำหนดให้บิลลี่กับอิงกริดมีปัญหาถึงขั้นจะหย่ากัน มันทำให้ความปั่นป่วนในใจของบิลลี่ดูน่าเชื่อขึ้น เพราะเขากำลังจะเสียเมียไป อีกทั้งลูกสาวก็กำลังจะจากอ้อมอกไป เหมือนชีวิตเจอกับทางแยกและการลาจากแบบไม่ตั้งตัวน่ะครับ ต่อให้ใจแกร่งแค่ไหนก็ต้องมีเซกันบ้าง

ช่วงครึ่งหลังพอบิลลี่คิดได้ และพยายามแก้ไขความผิดพลาด รวมถึงช่วยลูกในการจัดงาน มันเลยเป็นอะไรที่น่ารักครับ ช่วงนี้นี่แหละที่เริ่มมีอะไรๆ ที่อบอุ่น กินใจ ซึ้งใจ สำหรับผมแล้วมันทำให้ผมรู้สึกว่าการดูหนังเรื่องนี้มันคุ้มค่าน่ะครับ ช่วงต้นๆ อาจยังไม่เท่าไร แต่ตอนท้ายก็พอมีอะไรที่มันอบอุ่นและเรื่องดีๆ ให้ชวนคิด มีสาระชีวิตให้ไตร่ตรอง ก็ทำให้รู้สึกว่าการดูหนังเรื่องนี้คุ้มแก่การชมพอสมควร

อย่างที่บอกน่ะครับ ดูด้วยความเข้าใจ จับทางได้ว่ามันจะประมาณนี้ พอออกมาตรงกับที่คาดไว้ก็เลยกลายเป็นความพอใจแบบพอดีๆ ช่วงไหนยังกลมกล่อมเต็มที่ก็พอทำใจรับได้ (เพราะกะไว้แล้ว) ครั้นพอถึงช่วงที่ทำออกมาได้ดี ใจเราก็ชื่นชมพร้อมกับชื่นชอบไปตามระเบียบ โดยเฉพาะตอนที่คุณพ่อตาบิลลี่ขึ้นเวทีในงานแต่งนั้น เป็นอะไรที่ประทับใจไม่น้อยทีเดียว (จริงๆ ความประทับใจเริ่มมาตั้งแต่ขั้นตอนพิธีแล้วครับ)

Garcia แสดงบทพ่อตาเวอร์ชั่นคิวบา-อเมริกันได้ดีครับ ดูแล้วเชื่อว่าเขาเป็นคนประเภททำเพื่อครอบครัว และเชื่อมั่น (จนถึงขั้นยึดติด) ในความคิดของตนมากๆ จนบางครั้งก็อาจจะลืมคำนึงถึงคนอื่น แต่พอถึงเวลาที่ฉุกคิดได้ เขาก็กลายเป็นหัวหน้าครอบครัวที่น่ารัก และพร้อมจะพาทุกคนฟันฝ่าสารพัดอุปสรรคไปได้จนถึงฝั่ง

ดารารายอื่น ก็ถือว่ากลางๆ ครับ แสดงได้โอเค ความเด่นส่วนมากจะตกไปอยู่กับ Garcia แต่รายที่รู้สึกว่าบทดูน้อยๆ ยังไงก็ไม่รู้คือ Estefan อาจเพราะบทหนังฉบับนี้กำหนดให้เธอกับสามีจะหย่ากัน เลยทำให้บทบาทของเธอน้อยลง เพราะในหนังฉบับอื่นๆ นั้น บทภรรยาคนนี้จะเป็นคู่รักคู่คิดและเป็นคนคอย Support สามี รวมถึงเป็นคนคอยดึงสติช่วยให้สามีคิดได้

แต่อาจเพราะฉบับนี้บทกำหนดมาแบบนี้ และยังอาจเพราะหนังอยากโฟกัสไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างคุณพ่อกับคุณลูกมากกว่า (อันนำมาสู่ฉากที่บิลลี่กับโซเฟียคุยกันอย่างเปิดใจ หลังโซเฟียรู้เรื่องระหว่างพ่อกับแม่ของเธอแล้ว) เลยทำให้บทของคุณแม่ถูกลดลงตามลำดับ

Untitled07848

เมื่อดูจบแล้วผมก็อยู่ในข่ายชอบครับ รู้สึกชอบหนังเรื่องนี้พอสมควร โดยเฉพาะครึ่งหลังที่ทำออกมาได้อบอุ่น มีความหมาย และสัมผัสได้ถึงความรักระหว่างพ่อลูก ยิ่งฉากที่เขาพูดอวยพรลูกสาวในงานนั้น ถือเป็นคำพูดที่น่าจดจำและนำมาขบคิด จนผมอยากให้คุณพ่อทุกคนได้ลองฟัง ไม่ว่าท่านจะมีลูกสาวลูกชายหรือเพศสภาพใดก็ตาม

แน่นอนว่าผมยังรัก Father of the Bride ฉบับปี 1991 อยู่เหมือนเดิมครับ ส่วนฉบับนี้ก็ถือว่ามีความเข้าท่าตามแนวทางของมัน บางช่วงบางตอนฉบับ 1991 อาจทำไว้ประทับใจกว่า แต่ขณะเดียวกันฉบับนี้ก็มีบางอย่างที่ฉบับนั้นไม่มี อย่างตอน 2 คุณพ่อคุยกันในงานเลี้ยงเป็นต้น เป็นฉากง่ายๆ ครับ แต่มันสื่อความรู้สึกของคนเป็นพ่อ ที่มองลูกกำลังจะจากอ้อมอกไปได้อย่างดี

หรืออย่างตอนที่คุณนักจัดงานแต่ง นาตาลี (Chloe Fineman) พูดตอนพิธีวิวาห์ถึงเรื่อง “ไม่มีอะไรเป็นไปตามแผนเสียทั้งหมด” ก็ถือว่ามีความหมาย เข้ากับเหตุการณ์ในเรื่องดีเหมือนกัน

… ในนาทีนี้ จู่ๆ ผมก็คิดขึ้นมาว่า ถ้าเป็นสมัยก่อน ผมดูหนังเรื่องนี้แล้ว จะรู้สึกอย่างไร?

ผมอาจไม่ชอบ อาจต่อต้าน อาจจับผิด อาจรู้สึกว่าหนังมันสู้อะไรกับฉบับปี 1991 ที่ผมรักไม่ได้เลย ฯลฯ

แต่เมื่อเวลาผ่านไป… เซลล์สมองเกิดและดับ สลับกันไปตามช่วงแห่งประสบการณ์

สิ่งที่ไม่เข้าใจในตอนนั้น อาจเข้าใจมากขึ้นในวันนี้ หรือสิ่งที่เราเข้าใจในวันนั้น วันนี้อาจกลายเป็นว่าแท้จริงแล้วเรายังไม่เข้าใจมัน…

การมองอะไรต่อมิอะไรในวันนี้ ก็อาจต่างไปจากวันนั้น

ผมรู้สึกดีกับหนังเรื่องนี้ครับ และผมรู้สึกดี ที่ตัวเองรู้สึกแบบนั้น

สองดาวกว่าๆ ครับ

Star21

(6.5/10)