ภาคแรกถือว่าน่าพอใจครับสำหรับหนังสยองแนวไล่เชือดบวกด้วยเรื่องเหนือธรรมชาติ ครั้นมาภาคสองนี่บอกได้เลยว่าถึงรสยิ่งกว่าภาคก่อน ความน่าติดตามและตื่นเต้นรวมถึงความสยองนี่ถือว่าน่าพอใจเอามากๆ เลยล่ะครับ
หลังจากภาคแรกคารวะหนังแนวไล่เชือดแบบ Scream แบบที่ทำกันออกมามากมายในช่วงยุค 90 ไปจนถึงยุค 2000 แล้ว ภาคนี้ก็เป็นการย้อนไปรำลึกถึงหนังสยองแนวแคมป์เลือดเชือดยกค่ายแบบที่ขยันทำกันในยุค 80 น่ะครับ อย่างพวก Friday the 13th, The Burning แล้วก็ Sleepaway Camp โดยหนังย้อนเล่าไปถึงปี 1978 ที่แคมป์ไนท์วิงอันเป็นแคมป์ที่เด็กๆ ชาวเมืองเชดดี้ไซด์และซันนี่เวลจะไปใช้เวลาร่วมกัน ซึ่งตอนแรกทุกอย่างก็ดูปกติครับ จนกระทั่งแมรี่ เลน (Jordana Spiro) พยาบาลประจำค่ายเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมา แล้วในค่ำคืนนั้นเองความสยองโหดแบบเลือดสาดก็บังเกิดกับชาวแคมป์แห่งนี้จนได้
สิ่งที่ชอบอย่างแรกในภาคนี้คือบรรยากาศแคมป์ในเรื่องมันให้อารมณ์ยุค 80 ดีครับ ได้อารมณ์หนังศุกร์ 13 แบบกำลังเหมาะไม่ว่าจะรูปแบบอาคารหรือสถานที่ต่างๆ ในแคมป์ อย่างโรงอาหารหรือบึงที่มีไว้ทำกิจกรรมเรียกว่าเลือกสถานที่ถ่ายทำได้เหมาะทีเดียว และอีกอย่างก็คือมุมกล้องของ Caleb Heymann ก็ถ่ายออกมาชวนให้นึกถึงหนังไล่เชือดยุค 80 จริงๆ
ต่อมาคือดนตรีครับ Marco Beltrami และ Brandon Roberts ร่วมกันทำดนตรีออกมา โทนของมันก็ได้อารมณ์หนังสยองยุค 70 – 80 เช่นกัน อย่างช่วงดนตรีที่มีเสียงเหมือนบทสวดนั่นก็ทำให้นึกถึง The Omen ขึ้นมาเต็มๆ ล่ะครับ แล้วก็ช่วยเพิ่มความขลังให้กับเรื่องราวได้ดีอีกด้วย
ในแง่เนื้อหาก็ถือว่าเล่าได้ลงตัวและน่าติดตาม จะต่างจากภาคแรกที่จะมีช่วงผ่อนบ้าง มีช่วงแนะนำตัวละครแบบเรื่อยๆ บ้างในตอนต้นๆ แต่กับภาคนี้แม้จะเป็นช่วงแนะนำตัวละครก็เถอะ แต่เล่าได้กระชับกว่าครับ ระหว่างแนะนำก็จะสอดแทรกเรื่องราวลึกลับพร้อมกันไปเรื่อยๆ หนังเลยไม่ค่อยมีช่วงอืดช้าสักเท่าไร และในแง่มิติตัวละครก็ถือว่าเล่าได้น่าพอใจด้วยครับ บางตัวละครนี่ตอนแรกเหมือนจะไม่มีอะไร แต่พอเล่าไปก็จะเผยปมให้คนดูเข้าใจมากขึ้น จนเราอดไม่ได้ที่จะเอาใจช่วยให้ตัวละครทั้งหลายรอดพ้นจากเหตุการณ์สยองครั้งนี้ (แต่บางคนก็เดาได้ว่าไม่รอดแหงมๆ)
Sadie Sink แสดงเป็นซิคกี้ได้ดีครับ เธอดูเป็นเด็กสาวที่มีปมในใจ แต่ขณะเดียวกันก็มีความชัดเจนในแบบของตัวเอง ในขณะที่ Emily Rudd ที่เป็นซินดี้ พี่สาวของซิคกี้ เธอก็รับบทนี้ได้อย่างน่าเชื่อ เธอดูเป็นสาวที่พยายามจะควบคุมสถานการณ์ทุกอย่างให้ดีที่สุด และพยายามที่จะแสดงความมั่นใจ แต่ในใจเธอเองก็ดูจะมีอะไรซ่อนอยู่เช่นกัน คู่นี้ผมถือว่าเล่นเป็นพี่น้องกันได้เหมาะมากครับ ดูเป็นพี่น้องที่ห่างเหินกันแต่ใจก็ยังรักกันอยู่ เรียกว่าช่วยเพิ่มดีกรีความกินใจให้หนังได้ไม่น้อย
แต่คนที่ผมออกจะชอบมากหน่อยก็คือ Ryan Simpkins ครับ รายนี้มาเป็น อลิซ เพื่อนของซินดี้ที่ดูจะเป็นแบดเกิร์ลแบบเต็มร้อย แต่ผมก็เดาๆ ไว้อยู่แล้วล่ะครับว่าบทนี้ต้องมีอะไรดีๆ ซ่อนอยู่แน่ๆ ซึ่งเธอก็แสดงได้ดีครับ เรียกว่าเป็นสีสันอีกหนึ่งที่เพิ่มความกลมกล่อมให้กับหนังได้อย่างดี
ยอมรับครับว่าภาคนี้โหดกว่าภาคก่อน ซึ่งฉากโหดๆ นั้นอาจไม่ได้มากหรือน้อยกว่าภาคแรก แต่อารมณ์โหดและความหดหู่มันมากขึ้นครับ เพราะเหยื่อในภาคนี้คือชาวแคมป์ที่มีเด็กๆ อยู่ด้วย ดูไปก็สลดไม่น้อยครับ แต่ในขณะเดียวกันมันก็ช่วยเสริมความน่าสะพรึงให้กับคำสาปว่ามันช่างเป็นคำสาปอาถรรพ์ที่โหดร้ายจริงๆ และใจเราก็พลอยอยากให้คำสาปนั้นถูกทำลายลงโดยเร็ว เพราะไม่อยากเห็นใครต้องมาตายเพื่อสังเวยคำสาปนี้อีกแล้ว
โดยรวมแล้วผมชอบภาคนี้มากกว่าภาคแรกครับ จัดว่าครบเครื่องและถึงเครื่องทั้งในฐานะหนังสยองแนวเชือดยกค่าย และในฐานะของภาคตรงกลางของ Fear Street ที่เผยอะไรให้เราได้รู้มากขึ้น ขณะเดียวกันก็ทิ้งปมไว้ให้เราตามไปดูต่อในภาคต่อไป ซึ่งภาคนี้ยังคงกำกับโดย Leigh Janiak จากภาคแรก ถือว่าเธอคนนี้จับจุดเด่นในหนังสยองไล่เชือดมาเล่นได้อย่างพอเหมาะครับ
คิดว่าใครชอบหนังแนวนี้ก็ไม่น่าจะผิดหวังครับ ถือว่าดูสนุก ตื่นเต้น ชวนติดตาม แม้หลายๆ อย่างจะคาดเดาได้ไม่ยากก็เถอะ โดยเฉพาะใครที่ดูหนัง Slasher มาจนชิน (อย่างผมเป็นต้น) ก็อาจจะรู้มุกต่างๆ ของหนังแนวนี้หมดแล้ว แต่กระนั้นมันก็ยังสนุกและคุ้มค่าแก่การดูสักครั้งคราครับ
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)